วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559


ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน เพื่อรวบรวมเรียบเรียงคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ และแบ่งกันทรงจำสืบทอดมาถึงปัจจุบัน คือพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกบาลี เป็นแม่บทคำสอนที่ชาวพุทธเถรวาทให้ความเคารพศึกษา เป็นกรอบคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท



มีข้อสังเกตเรื่องคำสอนที่ชาวพุทธเถรวาทเราควรตระหนักรู้ก็คือ
1.       แม้พระอรหันต์ 500 รูปก็ยังมีความเห็นในประเด็นพระธรรมวินัยบางข้อไม่ตรงกัน
ในพระวินัยปิฎก จูฬวรรค ปัญจสติกขันธกะ ขุททานุขุททกสิกขาปทกถา  ว่าด้วยสิกขาบทเล็กน้อย  ( พระไตรปิฎกแปลฉบับ มจร. เล่ม 7 ข้อ 441 หน้า 382 )  ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อคราวสังคายนาครั้งที่ 1 พระอานนท์ได้กล่าวกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า 
ในเวลาจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า  อานนท์ เมื่อเราล่วงไป  สงฆ์หวังอยู่ก็พึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้
พระอรหันต์ทั้งหลายถามว่า ท่านอานนท์ ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือว่า                ‘ พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทข้อไหนที่จัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ท่านพระอานนท์ตอบ ท่านผู้เจริญ กระผมไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า                   พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทข้อไหน ที่จัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่ายกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า  “ ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท อนิยต 2 ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า  “ ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท  สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์  30 สิกขาบท ปาจิตตีย์  92 สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า  “ ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท  สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์  30 สิกขาบท ปาจิตตีย์  92 สิกขาบท  ปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
เมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน สุดท้ายพระมหากัสสปะจึงเสนอ ญัตติว่า จะไม่เพิกถอนสิกขาบทข้อใดๆ และได้รับการรับรองจากพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นเอกฉันท์
ลองคิดดูว่าหากพระอรหันต์แต่ละกลุ่มยืนกรานความเห็นของตน ไม่ยอมรับความเห็นต่างของพระอรหันต์กลุ่มอื่น คณะสงฆ์ก็มีโอกาสแตกออกเป็น 5 กลุ่มตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
ระดับพระอรหันต์และไม่ใช่พระอรหันต์ธรรมดา แต่เป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการคัดเลือกมาทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นพระไตรปิฎกให้เราศึกษาในปัจจุบัน มีพระอสีติมหาสาวกหลายรูป อาทิ พระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์ เป็นต้น ก็ยังมีความเห็นบางประเด็นไม่ตรงกัน แล้วชาวพุทธปัจจุบันที่ยืนกรานความเห็นของตนหรือเชื่อตามความเห็นของพระภิกษุนักวิชาการบางรูปว่าถูกต้อง ปฏิเสธและโจมตีผู้ที่เห็นต่างจากตนอย่างรุนแรง ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญาหรือยัง เก่งกว่าพระอสีติมหาสาวกหรือเปล่า การโจมตีผู้เห็นต่างจากตนมีแต่จะนำมาซึ่งความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ  ผิดแนวทางปฏิปทาของพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต



2.       การศึกษาและเผยแผ่ธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอนหลายระดับ
พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกเป็นแม่บทคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท
- มีคัมภีร์อรรถกถาเรียบเรียงโดยพระอรรถกถาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลราว 900 ปีเศษ   เป็นคู่มืออธิบายทำความเข้าใจพระไตรปิฎก
- มีคัมภีร์ฎีกาเป็นคู่มืออธิบายเนื้อหาในคัมภีร์อรรถกถาหรืออธิบายพระไตรปิฎกบางครั้งอธิบายในแง่มุมที่แย้งกับที่คัมภีร์อรรถกถาอธิบายไว้
- มีคัมภีร์อนุฎีกา เป็นคู่มืออธิบายเนื้อหาในคัมภีร์ฎีกาหรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถาหรืออธิบายพระไตรปิฎก 
- มีคำสอนของพระเถระทั้งในรูปคำเทศน์สอน หรือเขียนเป็นหนังสือธรรมะ อธิบายขยายความคำสอนในพระพุทธศาสนาให้เราเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น คำสอนของท่านพุทธทาส หลวงปู่ หลวงตา พระเถระต่างๆ หรือแม้ฆราวาสบางท่านที่มีความรู้ดี
มีบางคนคิดว่าคำสอนที่ถูกต้องจะต้องเป็นคำสอนที่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้น ผู้ที่มีความเห็นเช่นนี้ จะนำไปสู่แนวโน้มที่จะปฏิเสธคำสอนระดับอื่นๆทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ปฏิเสธคำเทศนาธรรมของพระเถระ  ปฏิเสธอนุฎีกา  ปฏิเสธฎีกา  ปฏิเสธอรรถกถา และเลยเถิดไปจนถึงปฏิเสธเนื้อหาพระไตรปิฎกส่วนที่เป็นคำกล่าวของพระอรหันต์เช่น พระสารีบุตร พระอานนท์ เป็นต้น  ยอมรับเฉพาะพุทธวจนะเท่านั้น และยังมีแนวโน้มจะปฏิเสธแม้พุทธวจนะในส่วนที่ไม่ตรงกับความเชื่อของตน เช่นส่วนที่มีการกล่าวถึง นรก สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ เทวดา นางฟ้า ยักษ์ เป็นต้น
หากทำตามความเชื่อของคนกลุ่มนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะทำได้โดยนำพระไตรปิฎกมาอ่านให้ฟัง  ห้ามอธิบายเพิ่มเติมตามความเห็นของตน ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นจริงพระพุทธศาสนาคงสาบสูญไปจากโลกนี้นานแล้ว เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ฟังไม่รู้เรื่อง
ความจริงการจะวินิจฉัยว่าคำสอนใดถูกต้องเป็นประโยชน์หรือไม่ต้องดูที่ความสอดคล้องกับหลักคำสอนในพระไตรปิฎก ไม่ใช่ดูที่ว่าต้องมีอยู่ในพระไตรปิฎก คำสอนของพระเถระทั้งหลายแม้ไม่ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก แต่หากสอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก คำสอนนั้นก็เป็นคำสอนที่ดี มีประโยชน์ ควรศึกษา
ดังนั้นคำสอนของพระเถระทั้งหลายที่เทศนาสั่งสอนประชาชนมาแต่โบราณกาล  เขียนหนังสือธรรมะอธิบายหลักธรรมให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ คือสิ่งดีมีประโยชน์
เปรียบเหมือนกฎหมาย รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายแม่บท แต่การวินิจฉัยว่ากฎหมายต่างๆถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ใช้วิธีดูว่าเนื้อหาในกฎหมายเหล่านั้นมีในรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ให้ดูเพียงว่าเนื้อหาของกฎหมายนั้นไม่ขัดรัฐธรรมนูญก็ถือเป็นกฎหมายที่ใช้ได้



3. คำสอนในพระไตรปิฎกส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ในส่วนเนื้อหาหลักธรรมเช่นอริยมรรคมีองค์ 8 มักกล่าวไว้เพียงสั้นๆ เช่นสัมมาสมาธิเกือบทั้งหมดก็กล่าวไว้เพียงว่า หมายถึง รูปฌาน 4 แต่ไม่มีการอธิบายว่าจะฝึกให้ได้รูปฌาน 4 ต้องปฏิบัติอย่างไร
สายปฏิบัติใหญ่ๆในประเทศไทย ล้วนอิงหลักการจากพระไตรปิฎกแล้วมาอธิบายขยายความเพิ่มเติมถึงวิธีการปฏิบัติเองทั้งสิ้น อาทิ
สายสัมมาอะระหัง อิงหลักสติปัฏฐาน 4 จากพระไตรปิฎก คือ การตามเห็นกายในกาย ตามเห็นเวทนาในเวทนา ตามเห็นจิตในจิต  ตามเห็นธรรมในธรรม  แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีการกล่าวถึงกายภายในที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนถึงธรรมกาย
สายพองหนอยุบหนอ อิงหลักสติปัฏฐาน 4 เช่นเดียวกัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงการก้าวหนอ ยกหนอ เหยียบหนอใดๆเลย
สายพุทโธ อิงหลักอานาปานสติ จากพระไตรปิฎก แต่วิธีการปฏิบัติที่สอนกันอยู่ก็ไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
หากจะเอาเฉพาะคำสอนที่มีในพระไตรปิฎกเท่านั้น ก็ต้องเลิกการปฏิบัติธรรมทุกสายในประเทศไทยทั้งหมด  ซึ่งมีแต่นำความเสื่อมมาสู่พระพุทธศาสนาและสังคมไทย
โดยสรุป หลักการวินิจฉัยคำสอนที่ดี คือ ดูความสอดคล้องกับหลักการในพระไตรปิฎก  ไม่ใช่การดูว่าคำสอนนั้นมีในพระไตรปิฎกหรือไม่  และอย่าเอาความเห็นความเชื่อของตนไปโจมตีผู้ที่เห็นต่าง  เพราะแม้แต่พระอรหันต์ 500 รูป  ที่เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียงคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพระไตรปิฎกให้เราศึกษา  ก็ยังมีความเห็นในบางประเด็นที่ต่างกัน
ถ้าเป็นคำสอนไปในทางอกุศล เช่น สอนให้ดื่มเหล้า  จมในอบายมุข อย่างนี้ผิดกับหลักการในพระไตรปิฎกชัดเจน  เป็นคำสอนที่ผิด  แต่ถ้าเป็นประเด็นคำสอนที่เป็นไปในทางกุศล เช่น คำสอนด้านธรรมปฏิบัติ  ที่อาจตีความได้หลายแง่มุม  ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน  อย่างนี้ไม่ควรจะยึดมั่นในความคิดของตนแล้วโจมตีผู้ที่เห็นต่าง  ตั้งใจปฏิบัติแบบที่ตนเชื่อและชอบไปดีกว่า

โดยรวม คำสอนที่สอนให้ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้ผ่องใส สอนให้ประชาชนรักการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา คือคำสอนที่ดี สอดคล้องกับหลักการในพระไตรปิฎก

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น