วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560


ทิม : คุณเคยอ่านพระไตรปิฎกแล้วหรือยัง ?

ร็อบ : ครับ แต่มีมากมายหลายเล่มเหลือเกิน
ผมคิดว่าอาจจะไม่มีเวลาอ่านให้ครบทุก ๆ เล่มหรอกครับ
คุณช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ ว่าเล่มไหนสำคัญ ควรจะอ่านก่อน

ทิม : ได้ครับ พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนครับ คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม

พระวินัย ว่าด้วยกฎและระเบียบต่าง ๆ
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
สำหรับพระภิกษุสงฆ์
พระสูตร ประกอบด้วยพระธรรมเทศนาต่าง ๆ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหาสาวก
พระอภิธรรม ส่วนใหญ่ว่าด้วยจิตวิทยาและพุทธปรัชญา
เป็นส่วนที่ยากที่สุดในจำนวน 3 ส่วน
ผมขอแนะนำให้คุณอ่านพระสูตรก่อน

ร็อบ : พระสูตรมีอยู่กี่เล่มครับ

ทิม : มี 33 เล่มครับ

ร็อบ : จริงหรือครับ ทำยังไงผมจะจำได้หมดล่ะครับ

ทิม : ตามที่ผมเข้าใจ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนานั้น
พระองค์ทรงมีวิธีอธิบายเรื่องเดียวกันหลายรูปแบบ
หลายระดับความยากง่ายของภาษา
แก่ผู้ฟังระดับต่าง ๆ ตามความสามารถของพวกเขา
ในการที่จะเข้าใจและปฏิบัติตามพระองค์
นี่คือสาเหตุที่ทำให้มีพระสูตรมากมายตลอดเวลา 45 ปี
แห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระองค์

ร็อบ : ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่า
ถ้าผมรู้เพียงแก่นคำสอนของพระพุทธศาสนา
ผมก็จะสามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้
ทั้ง ๆ ที่ยังอ่านพระสูตรไม่ครบทั้งหมด

ทิม : ครับ ผมคิดว่าเป็นไปได้

ร็อบ : ประเด็นสำคััญของพระสูตรคือ อะไรครับ

ทิม : ตามความเห็นของผม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์เราเข้าใจธรรมชาติและชีวิตตามเป็นจริง พร้อมทั้งวิธีปฏิบัติเพื่อพบความสุขที่แท้จริง

ร็อบ : พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่าครับ

ทิม : ครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์
พระองค์ไม่เคยทรงร้องขอหรือทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้า
หรืออำนาจจากภายนอกพระองค์
อันที่จริงพระองค์ทรงมีพระบริสุทธิคุณ
พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงส่ง
จึงทำให้ทรงอยู่เหนือกว่าบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
พระองค์ยังได้ทรงยืนยันด้วยว่า มนุษย์เป็นนายบังคับบัญชาตนเอง
ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรืออำนาจอื่นใดตัดสินชะตากรรมมนุษย์ดังที่ตรัสว่า
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใดเล่าจะเป็นที่พึ่งได้"
นอกจากนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังได้ทรงยืนยันว่า
ทุกคนมีศักยภาพในตนเองที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
ถ้าตั้งความปรารถนาและมีวิริยะอุตสาหะ

ร็อบ : พระองค์ทรงมีพระปัญญาธิคุณมาก
คุณรู้ไหมว่าทรงมีวิธีสั่งสมพระปัญญาธิคุณอย่างไร

ทิม : โดยการฝึกอบรมจิต ถ้าคุณศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไปอีก
คุณจะได้พบว่าพระพุทธศาสนา เน้นย้ำเรื่องการฝึกอบรมจิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาจากใจ ใจประเสริฐสุดสำเร็จมาจากใจ"

ร็อบ : พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ ใช่ไหมครับ

ทิม : คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองนะครับ
อันที่จริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสมความรู้และปัญญา
ด้วยการทำการศึกษาค้นคว้าทดลองอันแสนยาวนาน
ซึ่งเป็นประสบการณ์ภายในของพระองค์เอง
พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดของพระองค์
ล้วนเป็นผลมาจากการทำการศึกษาค้นคว้าทดลองของพระองค์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อพระองค์ ดังที่ตรัสว่า
พระองค์ทรงสอน "วิธีการ" ให้เท่านั้น
เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องพิสูจน์คำสอนของพระองค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับชาวกาลามะว่า
คนเราต้องพิสูจน์คำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา
ด้วยประสบการณ์ของตนเอง ในกรณีนี้ ผมคิดว่าพระดำรัสของพระพุทธองค์นั้น
หมายความว่า ให้คุณใช้ใจของคุณเป็นเสมือนหลอดทดลอง

ร็อบ : ตกลงครับ ทิม ผมขอบคุณ
สำหรับคำแนะนำและคำอธิบายของคุณมาก
ผมขอทบทวนแก่นคำสอนของพระพุทธศาสนาอีกครั้งนะครับ
พระพุทธศาสนาสอนให้เรามีความเข้าใจถูกเกี่ยวกับธรรมชาติและชีวิตพร้อมทั้ง
วิธีปฏิบัติเพื่อให้พบความสุขอย่างแท้จริง

ทิม : ถูกแล้วครับ ด้วยการเจริญภาวนา
ก็จะทำให้เกิดปัญญาด้วยปัญญาก็จะทำให้เราบรรลุความสุขที่แท้จริง.



อ.สุวณีย์ ศรีโสภา ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560



การเข้ามาสู่ครรภ์ของทารก
ในทัศนคติทางพระพุทธศาสนามี ๔ แบบ ดังนี้
แบบที่ ๑ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ก้าวลงสู่ท้องมารดาก็ไม่รู้ตัว ตั้งอยู่
ในท้องมารดาก็ไม่รู้ตัว ออกจากท้องมารดาก็ไม่รู้ตัว
แบบที่ ๒ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ก้าวลงสู่ท้องมารดา
รู้ตัว ตั้งอยู่ในท้องมารดาไม่รู้ตัว ออกจากท้องมารดาก็ไม่รู้ตัว
แบบที่ ๓ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ก้าวลงสู่ท้องมารดา
รู้ตัว ตั้งอยู่ในท้องมารดารู้ตัว ออกจากท้องมารดาไม่รู้ตัว
แบบที่ ๔ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ก้าวลงสู่ท้องมารดา
ก็รู้ตัว ตั้งอยู่ในท้องมารดาก็รู้ตัว
ทั้งออกจากท้องมารดาก็รู้ตัว   

 ขอบคุณวีดีโอจาก: www.mucleusinc.com
ใช้เฉพาะประกอบบทความนี้เท่านั้น


ใน ๔ แบบเหล่านี้...
แบบที่หนึ่ง เป็นของพวกโลกิยมนุษย์.
แบบที่สอง เป็นของพระอสีติมหาสาวก.
แบบที่สาม เป็นของพระอัครสาวกทั้งสอง
และพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ได้ยินว่า บุคคล ๓ จำพวกเหล่านั้น เมื่อถูก
ลมกรรมชวาต พัดเอาเท้าขึ้นบน เอาหัวลงล่าง
ออกจากช่องกำเนิดที่คับแคบ
เหลือเกิน ย่อมถึงทุกข์อย่างยอดยิ่ง
อุปมาเหมือนถูกเขาจับเหวี่ยงลงในเหวลึก
ด้วยเหตุนั้นความรู้ตัวว่า เรากำลังออกจึงไม่มี แก่บุคคล ๓ จำพวกนั้น.
การก้าวลงสู่ครรภ์แบบที่ ๔ ย่อมมีเฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้สัพพัญญูทั้งหลายเท่านั้น
อ. อัจฉริยัพภูตสูตร 23/56-57 มมก.

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจมาก
เมื่อมีคนหนึ่งเข้ามาทำบุญเสร็จเขาก็นั่งอธิษฐานอยู่เพลินๆ
อีกคนเดินมาบอก แกมันโลภทำบุญแล้วขอโน่นขอนี่

แต่ที่จริงคนนั้นแหล่ะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลย
เพราะความจริง เรื่องการอธิษฐานนี่
นับเป็นบารมีอีกอย่างหนึ่งเชียวนะ
เป็นเรื่องที่คนฉลาดเค้าทำกัน

เพราะการตั้งจิตอธิษฐาน
คือการรู้จักตั้งเป้าหมายหรือเจาะจงผลแห่งบุญว่า
จะให้เกิดขึ้นอย่างไรและเกิดขึ้นเมื่อไหร่

อธิษฐาน

ดังเช่นคนที่เค้าจะตักบาตรพระ
 เค้าก็ยกขันขึ้นทูนหัวและอธิษฐานว่า
ข้าวของข้าพเจ้า ขาวดังดอกบัว ยกขึ้นเหนือหัว
ตั้งจิตจำนงตรงต่อพระนิพพาน ขอให้ถึงเมืองแก้ว
ขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้พบพระศรีอารย์
ในอนาคตกาลเบื้องหน้านี้เทอญ..

หรือบางคนทำบุญแล้วมีกำลังใจดีๆ
ก็อาจจะอธิษฐานขอเอานิพพานกันไปเลยว่า
นิพพานนะ ปัจจะโย โหตุอย่างนี้เป็นต้น

ถามว่าทำไมจะต้องอธิษฐานขอพระนิพพานกัน
ทั้งที่บางทีใจก็ยังไม่ค่อยอยากจะไป ตรงนี้ก็ขอตอบว่า

เพราะนิพพานเป็นยอดแห่งความสุข
คนเราทำบุญก็หวังความสุข ก็ในเมื่อหวังความสุข
แล้วทำไมไม่ไปเอาที่ยอดแห่งความสุขเสียเลยล่ะ

เมื่ออธิษฐานถึงยอดแล้ว
เดี๋ยวฐานหรือตรงกลางมันก็มีตามๆกันมานั้นแหล่ะ
ไม่ต้องเป็นห่วง อธิษฐานเอายอดไว้เลยดีที่สุด

คนที่สร้างบุญแล้วไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐาน
ก็ไม่ใช่จะไม่เกิดผลนะ เกิดเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเป็นผลอะไร
 ที่ไหน และเมื่อไหร่ อันนี้ไม่รู้



ดังมีเรื่องของคนที่ขาดอธิษฐานบารมีว่าไว้
ในคัมภีร์ คือ สมัยหนึ่งมีเศรษฐีใหญ่มั่งคั่งร่ำรวยมาก
มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า
แต่ไม่มีโอกาสได้ไปฟังธรรม

ต่อมาเศรษฐีก็มีความขัดสนขึ้นจนตัวเอง
เหลือทรัพย์สินในระดับแค่ความเป็นเศรษฐีเล็กๆ
เมื่อถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปฟังธรรมอีก

ต่อมาจากเศรษฐีเล็ก ก็กลับกลายเป็นคนยากจน
เมื่อถึงตอนนี้จึงได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
เมื่อฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย
หลังจากตาคนนี้แกกลับไป

พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับสาวกว่า
ถ้าชายคนนี้ได้ฟังธรรมจากเราตั้งแต่เป็นเศรษฐีใหญ่
จะได้บรรลุธรรมชั้นอนาคามี หรือถ้าได้ฟังธรรมจากเรา
ตั้งแต่เป็นเศรษฐีเล็กๆ ก็ยังจะได้บรรลุธรรมชั้นโสดาบัน

แต่เมื่อชายคนนี้มาฟังธรรมจากเรา
ขณะที่เป็นคนยากจน จึงไม่สามารถบรรลุธรรมอันเลิศ
ในชั้นหนึ่งชั้นใดได้เลย

เพราะจิตใจของเข้านั้นมัวแต่พะวง
อยู่กับการทำมาหากิน ซึ่งที่เป็นเช่นนั้น
เพราะบุคคลนี้ขาดการรอธิษฐานบารมี มาในกาลก่อน

เป็นอย่างไร น่ากลัวหรือไม่
มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าและได้โอกาสแห่งการบรรลุธรรมแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
เพียงเพราะขาดการ อธิษฐาน

ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่กำลังอ่าน
จงอย่าได้ประมาทในการอธิษฐาน อธิษฐานเข้าไปเถอะ
ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา เราทำของเราให้ดีก็แล้วกัน

Cr. หนังสือบุญสร้างได้ไม่ยาก

บ้าน.ธรรม.บุญ