วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

On 03:21 by EForL   No comments


ขึ้นชื่อว่าการอยู่ร่วมกันแล้วย่อมต้องมีปัญหาการกระทบกระทั้งกันทุกคน แต่ว่าเมื่อเกิดปัญหาแล้วจะแก้ไขอย่างไรตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษา วันนี้เลยขอนำเรื่องราวการแก้ปัญหาภายในครอบครัวของผู้มีบุญในกาลก่อนมาฝาก

ย่อนกลับไปเมื่อ 2500 กว่าปี่ที่ผ่านมา ในสมัยนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมแก่พระเจ้าพิมพิสาร และชาวเมืองอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในบรรดาชาวเมืองทั้งหลายนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อว่าวิสาขะได้เข้ามาฟังธรรมด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนาวิสาขอุบาสกได้บรรลุเป็นพระอนาคามีผล กลายเป็นผู้มีความสงบนิ่ง มีความสำรวม เมื่อมหาชนทั้งหลายแยกย้ายกันกลับวิสาขอุบาสกก็เดินกลับบ้านเช่นกัน

ฝ่ายนางธรรมทินาผู้เป็นภรรยา เมื่อเห็นสามีเดินกลับมาก็รีบออกมาต้อนรับ โดยนางยื่นมือมาหาสามีเหมือนอย่างที่เคย แต่คราวนี้สามีไม่ยื่นมือออกมารับ ทำให้นางรู้สึกแปลกใจเป็นครั้งที่หนึ่ง
พอถึงเวลารับประทานอาหาร สามีก็ไม่ยอมมองหน้าหรือสนทนาด้วย ทำให้นางรู้สึกแปลกใจเป็นครั้งที่สอง ครั้นถึงเวลานอน ก็ไม่ยอมนอนด้วยกันทำให้นางยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีก
คืนนั้นนางนอนไม่หลับ แต่กลับมานั่งคิดว่า “เป็นเพราะอะไรจึงทำให้สามีเราเป็นแบบนี้ หรือเป็นเพราะมีคนมายุแหย่ให้เราแตกกัน หรือว่าตัวเราเองทำไม่ดีอะไร” คิดแล้วก็นั่งร้องไห้หนักมากอยู่คนเดียว
รุ่งเช้าขึ้นมานางไม่เป็นอันทำอะไร มีความคิดขึ้นมาในใจว่าวันนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อเห็นหน้าสามีจึงเข้าไปถามว่า
ธรรมทินา. อะไรทำให้คุณพี่ไม่เหมือนเดิม
วิสาขอุบาสก. ไม่มีอะไรหรอกคุณ
ธรรมทินา. มีใครมายุแหย่หรือคะ
วิสาขอุบาสก. เรื่องแบบนี้ก็ไม่มี
ธรรมทินา. แล้วทำไมท่านจึงไม่ยอมผู้จาปราศรัยกับดิฉันเหมือนอย่างที่เคยเป็นหล่ะคะ
ฝ่ายวิสาขอุบาสกเมื่อเจอคำถามชนิดหมัดตรงแบบนี้ ก็ไม่รู้จะหลบเลี้ยงอย่างไรจึงคิดในใจว่า ธรรมที่เราได้บรรลุนี้ คนทั่วไปรู้และเข้าใจได้ยาก แต่ถ้าไม่บอกนางตอนนี้มีอาจทำให้นางอกแตกตายในวันนี้เป็นแน่ จึงบอกไปว่า
“ธรรมทินา ฉันได้ฟังธรรมของพระสัมมาฯ แล้วได้บรรลุเป็นพระอนาคามี, ความต้องการอย่างนั้นของเราไม่มีอีกแล้ว, ถ้าเธอต้องการทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดก็จงเอาไป เธอจะอยู่ในฐานะแม่หรือว่าน้องสาวของเราก็ได้ หรือถ้าเธอปรารถนาไปหาชายอื่นก็ได้ตามต้องการ”
เมื่อได้ฟังดังนี้ ด้วยความที่นางเป็นคนมีปัญญาก็พิจารณาว่า ปกติสามีของเราก็ไม่เคยพูดเล่นแบบนี้ จึงถามไปว่า “ก็ธรรมที่ท่านได้บรรลุเป็นของผู้ชายอย่างเดียวหรือ หรือว่าผู้หญิงก็รู้ธรรมข้อนั้นได้”
วิสาขอุบาสก. ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถรู้ได้ทุกคน
ธรรมทินา. เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอให้ดิฉันได้ฟังธรรมบางจะได้ไหมคุณพี่

สุดท้าย วิสาขอุบาสกก็พานางไปฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะบุคคล ต่อมาทั้งสองก็ได้สละสมบัติแล้วออกบวชในพระพุทธศาสนา


จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดปัญหา ต่างฝ่ายก็พร้อมที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่เอาอารมณ์ความไม่ชอบใจ หรือความโกรธเกลียดมาปะทะใส่กัน เมื่อคุยกันได้ก็สามารถหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกันได้ในที่สุด

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

On 20:37 by EForL in ,    No comments
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนคาถาให้แล้วก็กลับ ฝ่ายเจ้าภาพก็ลืมถามว่าคาถาที่เขียนหมายถึงอะไร วันนี้เลยขอนำความหมายของคาถาที่หลวงปู่ หลวงพ่อเขียนมาแชร์ข้อมูลกัน


อุ มาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา  
อา มาจากคำว่า อารักขสัมปทา
กะ มาจากคำว่า กัลยาณมิตตตา
สะ มาจากคำว่า สมชีวิตา

1.อุฏฐานสัมปทา หมายถึง การเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในการทำธุรกิจการงาน ให้ทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีปฏิภาณไหวพริบ จนสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
2.อารักขสัมปทา หมายถึง เป็นผู้รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้  เมื่อมีทรัพย์มากแล้ว จึงจำเป็นต้องรู้จักเก็บไว้ ไม่ให้เกิดโจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย หรือภัยที่เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี มาลักขโมยไปได้  พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักการเก็บทรัพย์สมบัติไว้ให้ดี
3.กัลยาณมิตตตา หมายถึง หาพรรคพวกที่เป็นคนดี มีศีลมีธรรม ที่จะมาช่วยทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป การเลือกคบคน อย่าไปดูเพียงรูปร่างหน้าตา ฐานะความเป็นอยู่ หรือคำพูดจาดีเท่านั้น แต่ให้สังเกตเพื่อนคนนั้นว่า มีความประพฤติดี มีศรัทธา มีศีล รักในการบริจาคทาน มีปัญญาแนะนำตักเตือนเราได้ คนที่คิดดี พูดดี ทำดี แม้จะอยู่ในสถานะใด ย่อมได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรให้กับเราได้เช่นกัน
4.สมชีวิตา หมายถึง จะต้องรู้ทางเจริญขึ้นและทางเสื่อมของทรัพย์ เพื่อเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟื่อยหรือฝืดเคือง บางคนมีความขยันหมั่นเพียรหาทรัพย์มาได้มาก แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ทรัพย์ หามาได้เท่าไรก็ไม่พอ จึงกลายเป็นบุคคลผู้ที่มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ในทำนองเดียวกัน แม้มีรายได้น้อย แต่รู้จักประหยัด ก็สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ เพราะความสุขอยู่ที่การรู้จักพอและสันโดษ

สรุปแล้วคาถา 4 ประการที่หลวงปู่ หลวงพ่อให้ไว้นี้ คือให้ไปรวยนั้นเอง เพราะเมื่อใครปฏิบัติตามหลักของคาถานี้ได้  ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน  และเพื่อการเป็นเศรษฐีนี้เอง