วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ในสมัยพุทธกาลมีนักบริหารท่านหนึ่งชื่อชานุสโสนิ เข้าไปถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
พวกนักปกครอง พวกนักวิชาการ พวกนักธุรกิจ พวกสตรี พวกโจร 
และพวกนักบวชมีรสนิยมเป็นอย่างไร ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
- นักปกครองย่อมประสงค์ในโภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร 
   ต้องการความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
- นักวิชาการ ชอบศึกษาค้นคว้า มั่นใจในความรู้ ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญ
- นักธุรกิจ มั่นใจในความสามารถของตน ต้องการประสบความสำเร็จเป็นที่สุด
- สตรี ย่อมประสงค์บุรุษ นิยมเครื่องแต่งตัว มั่นใจในบุตร ต้องการความเป็นใหญ่ในบ้าน
(ไม่ต้องการให้มีสตรีอื่นร่วมสามี)
- โจร ย่อมประสงค์ที่จะลักทรัพย์ของผู้อื่น นิยมที่เร้นลับ มั่นใจในศาตรา ต้องการที่มืดเพื่อปกปิดตัวเอง
- นักบวช ย่อมประสงค์ขันติ โสรัจจะ นิยมปัญญา มั่นใจในศีล ต้องการความไม่มีห่วงใย
มีพระนิพพานเป็นที่สุด ฯ
เมื่อเราเข้าใจในธรรมชาติ หรือความนิยมชมชอบ ความพอใจ ของบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังนี้แล้ว
เวลาเข้าไปหาหรือต้องเข้าไปติดต่องานจะได้วางตัวถูก เข้ากับภาษิตที่ว่า
"รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง"




วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

     ขึ้นชื่อว่าความลับหรือข้อสงสัยอะไรย่อมไม่มีแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระพุทธองค์เมื่อต้องเจอกับนักบวชนอกศาสนา
หรือแม้กระทั่งพระราชามหากษัตริย์ ท่านจะมีปกติทักทายก่อนพร้อมกับเชิญชวนว่า
"ท่านจงถามปัญหากะเรา เราจะกระทำที่สุดแห่งปัญหานั้น ๆ แก่ท่าน"
คำว่า "ที่สุดแห่งปัญหา" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ถือเป็นการตอบข้อสงสัยที่ตรงประเด็นและไม่ปิดบังอัมพรางเลยแม้แต่นิดเดียว จนทำให้ผู้ที่ได้รับคำตอบจะต้องชื่นชมในอัจฉริยภาพเป็นเสียงเดียวกันว่า "แจ่มแจ้งจริงหนอ ประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด เปิดไฟในที่มืด 
ชี้ทางสว่างให้แก่คนที่หลงทาง" การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะชมกันซะขนาดนี้ แสดงว่าผู้ตอบคำถามต้องสามารถทำลายความลับหรือความไม่รู้ของผู้ถามปัญหาออกไปจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน ซึ่งความลับหรือความไม่รู้อันใดที่คนในอดีตถาม ก็คงเป็นเรื่องที่คนในปัจจุบันสงสัยเช่นเดียวกัน
     แม้ว่าคนในปัจจุบันจะเกิดไม่ทันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำสอนอันเป็นสัจจะธรรมยังคงมีอยู่

เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธควรจะภาคภูมิเสียเถอะว่า คำสอนที่เป็นสัจจะธรรมที่สุด คำสอนที่สามารถนำสันติภาพที่แท้จริงที่สุด ยังคงเจริญรุ่งเรื่องอยู่ในบ้านเมืองของเรา พวกเราชาวพุทธควรจะรักษาและหวงแหนคำสอนอันทรงคุณค่านี้เอาไว้ให้อยู่คู่แผ่นดินนี้ตราบนานเท่านาน


วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประเพณีของชาวพุทธ  เมื่อมีผู้เสียชีวิต  เรามักจะคุ้นเคยกับการทำบุญให้ผู้ตาย 7 วัน 50 วัน และทำบุญ 100 วัน เคยสงสัยไหมว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น  

การทำบุญ 7 วัน คือ ช่วงที่ผู้ตายยังวนเวียนอยู่ในเมืองมนุษย์  นี่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปมหานรก ก็จะได้มีโอกาส ๗ วันนั้นส่งบุญไปช่วยกันได้ 

การทำบุญ 50 วัน คือ ช่วงที่กำลังรอคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก เข้าคิวคอยอยู่ในช่วงนี้ 

การทำบุญ 100 วัน คือ ช่วงที่ระหว่าง 50 – 100 วัน คือ ช่วงพิพากษา  และส่งไปเกิดเป็นอะไรต่ออะไร  เช่น ไปเกิดในยมโลก ไปเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นเปรต อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน
เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ช่วง  7  วัน  50  วัน  100 วัน  จะเป็นช่วงกายละเอียดรับบุญได้
นี่คือหลักการนะส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างนี้  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะฉะนั้น ภายใน 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน ก็ต้องทำบุญทุกบุญให้เต็มกำลัง  แล้วอุทิศบุญไปให้กับผู้ที่เสียชีวิต


คำสอนของพระเทพญาณมหามุนี


วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

"ความลับของแต่ละชีวิต" ที่เจ้าของชีวิตไม่มีโอกาสทราบล่วงหน้าเลย มีอยู่ ๕ ประการ
ประการที่ ๑   "เราไม่รู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้อีกกี่ปี"
ประการที่ ๒   "เราไม่อาจรู้ว่าจะตายด้วยวิธีการใด"
ประการที่ ๓  "เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปในเวลาใด"
ประการที่ ๔  "เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าว่าจะทอดร่างลงดับจิตในสถานที่ใด" 
ประการที่ ๕ "ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน"

เมื่อเรารู้ว่า "เราไม่รู้อย่างนี้" ในขณะที่ยังมีลมหายใจก็อย่าประมาท สร้างคุณค่าให้กับชีวิตต่อไป




1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ าติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน
11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม

คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

เรื่องมีอยู่ว่า นายปุณณะ เป็นคนยากจนเข็ญใจ เขาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงานให้กับสุมนเศรษฐี เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ ในครอบครัวของเขาประกอบด้วยภรรยา ๑ คน และบุตรสาวอีก ๑ คน ทั้งสองคนเป็นคนดีมากๆ คอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดี แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ลำบากก็ไม่ทอดทิ้งกัน
ต่อมาวันหนึ่ง กรุงราชคฤห์มีการจัดงานมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน สุมนเศรษฐีจึงถามเขา "ว่าจะไปเที่ยวชมมหรสพหรือรับจ้างทำงาน" เขาตอบว่า "มหรสพเป็นเรื่องของคนรวย ส่วนเขาเป็นคนยากจน ข้าวสารกรอกหม้อในวันพรุ่งนี้ยังไม่มีกิน จะขอรับจ้างทำงานเหมือนกับทุกวัน"สุมนเศรษฐีจึงให้งานไถนาแก่เขา
นายปุณณะรับวัวและไถมาแล้ว ก่อนจะออกบ้าน เขาได้บอกภรรยาให้ทำอาหารเช้าเป็นผักต้มมากกว่าทุกวันเป็นสองเท่า แล้วให้นำไปส่งเขาที่ท้องนานอกเมือง
ขณะนั้น พระสารีบุตรเพิ่งออกจากการเข้านิโรธสมาบัติมาตลอด ๗ วัน เห็นนายปุณณะปรากฏในข่ายญาณทัศนะของท่าน ก็ทราบว่าเขาเป็นเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ถึงแม้จะมีฐานะยากจนก็ตาม แต่หากเขาได้ทำบุญกับท่านในเช้าวันนี้ เขาจะได้เป็นมหาเศรษฐีใจบุญค้ำจุนพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต ท่านปรารถนาจะอนุเคราะห์ให้เขาพ้นจากความลำบากยากจน จึงลุกจากที่หลีกเร้น เดินไปหาเขาที่ท้องนา

นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรเดินมาแล้วก็รีบวางคันไถ ก้มกราบด้วยความเคารพ รีบทำไม้ชำระฟันนำไปถวายท่าน รับบาตรและผ้ากรองน้ำจากมือท่านแล้ว ก็รีบนำไปกรองน้ำดื่มมาถวายท่าน
พระสารีบุตรรออยู่ที่นั่นสักครู่ ก็ทราบว่าภรรยาของนายปุณณะเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว กำลังเดินทางเกือบจะถึงท้องนาแล้ว ท่านจึงเดินมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงราชคฤห์
ในระหว่างทางนั้นเอง ภรรยาของนายปุณณะได้พบเห็นพระสารีบุตรกำลังเดินบิณฑบาต ก็ได้คิดขึ้นว่า 'การทำทานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับเรา เพราะบางครั้งมีเนื้อนาบุญแต่ไม่มีไทยธรรมก็ทำไม่ได้ มีไทยธรรมแต่ไม่มีเนื้อนาบุญก็ไม่ได้ทำ แต่วันนี้มีครบทั้งสองอย่าง เราควรทำบุญก่อนเถิด'
ภรรยาของนายปุณณะวางภาชนะใส่อาหารลง ก้มกราบพระสารีบุตรแล้ว กล่าวนิมนต์ว่า"พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอโปรดจงอย่าคิดว่าภัตตาหารนี้เศร้าหมองหรือประณีตเลย จงทำความสงเคราะห์แก่ทาสผู้เคารพและศรัทธาต่อพระคุณเจ้าด้วยเถิด"
เมื่อภรรยาของนายปุณณะถวายภัตตาหารได้ครึ่งหนึ่ง พระสารีบุตรก็วางมือปิดบาตร นางจึงกล่าววิงวอนว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ โปรดอย่าสงเคราะห์ดิฉันแค่เพียงในชาตินี้เลย โปรดสงเคราะห์ดีฉันในสัมปรายภพด้วยเถิด" พระสารีบุตรก็เปิดบาตรออกให้นางใส่ภัตตาหารอีกครึ่งหนึ่งลงไป
ภรรยาของนายปุณณะถวายภัตตาหารเสร็จแล้วก็กล่าวว่า "ขอผลานิสงส์แห่งบุญนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมเช่นเดียวกับที่พระคุณเจ้าได้บรรลุแล้วด้วยเทอญ"พระสารีบุตรกล่าวอนุโมทนาว่า "ขอจงสมปรารถนาเช่นนั้นทุกประการ"
นางปลาบปลื้มปีติในการถวายทานเป็นอันมาก ก้มกราบแล้วก็รีบกลับไปบ้าน หุงข้าวเตรียมอาหารชุดใหม่เสร็จแล้ว ก็รีบไปส่งให้กับสามีที่กำลังรอคอยด้วยความหิวอยู่ที่ท้องนา
นายปุณณะยังไม่ได้ทานอาหารเช้า ไถนาจนหมดแรง ภรรยาก็ยังไม่มาจึงไปนั่งรอใต้ร่มไม้ด้วยความหิวจนมือไม้สั่น ภรรยาเพิ่งก้าวมาถึงท้องนา เห็นสามีนั่งรออยู่ก็รู้ว่าหิวมาก ถ้าหากไม่ทำให้อารมณ์ดีก่อน ที่จะเกิดความโมโหหิวและลงมือทำร้ายตน การถวายทานด้วยภัตตาหารส่วนของสามีในเช้าวันนี้ก็จะกลายเป็นสูญเปล่า
นางจึงร้องบอกแต่ไกลด้วยถ้อยคำอ่อนหวานว่า “พี่จ๋า พี่จงทำใจให้ผ่องใสสักวันหนึ่งเถิด อย่าได้ทำบุญใหญ่ที่ฉันทำแล้วให้ไร้ประโยชน์ เมื่อเช้าฉันได้พบกับพระธรรมเสนาบดี ได้ถวายภัตตาหารแด่ท่าน แล้วกลับไปเตรียมมาใหม่ ขอพี่จงทำจิตให้เลื่อมใสในบุญนั้นเถิด”


นายปุณณะได้ยินดังนั้น ก็ตกตะลึงคิดว่าตัวเองหูฝาด พอได้ยินภรรยาเล่าซ้ำ ก็ปลื้มใจในบุญนั้นเป็นอันมาก แล้วก็เล่าการทำบุญในส่วนตัวของตน มีการถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปาก ให้ภรรยาฟังบ้าง
สองสามีภรรยาปลื้มอกปลื้มใจกับบุญที่ได้อุปัฏฐากและถวายท่านแด่พระธรรมเสนาบดีเป็นอันมาก ฝ่ายสามีรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็ล้มตัวนอนหนุนตักภรรยาหลับไปด้วยความอ่อนเพลียแต่ใจปลื้มในบุญ
ครั้นเมื่อนายปุณณะตื่นนอนขึ้นมา ก็ต้องกระพริบตาด้วยความตกตะลึง เมื่อท้องนาที่ไถไว้เมื่อเช้าตรู่ ได้ผันแปรเปลี่ยนเป็นทองคำ ทีแรกยังคิดว่าตนเองตาฝาด จึงสอบถามภรรยาก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เขายิ่งปลื้มใจในบุญ นึกถึงพระคุณของพระสารีบุตรเป็นอันมาก
ต่อจากนั้น เขาได้นำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อพระราชา เมื่อทำการแสดงทรัพย์สินแล้ว ปรากฏว่าทองคำทั้งหมดที่ขนมาจากท้องนา มีปริมาณมากจนล้นพระลานหลวง กองท่วมเป็นภูเขาสูงขึ้นไป ๘๐ ศอก เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในกรุงราชคฤห์ บุญจากการถวายทานกับพระสารีบุตรได้ส่งผลในวันนั้นเอง

นายปุณณะและครอบครัวได้ฉลองตำแหน่งเศรษฐีด้วยการอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์มาทำบุญถวายภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากฟังพระบรมศาสดาแสดงธรรมแล้ว ก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งครอบครัว