วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ช่วงนี้เราได้ยินได้ฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายแทบจะทุกวัน
ประเด็นที่คนในสังคมสนใจเป็นอย่างมากนั้นก็คือ การไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาของท่านเจ้าอาวาส สำหรับคนทั่วไปก็อาจจะสงสัยว่าทำไมท่านเจ้าอาวาสจึงไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาที่
ดีเอสไอเรียก แต่สำหรับคนที่ศึกษาและติดตามคดีสหกรณ์มาเป็นอย่างดี ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร การที่เราไม่ศึกษาข้อเท็จจริงให้ละเอียดเสียก่อน แล้วไปวิจารณ์พระสงฆ์องค์เจ้าเลย ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งก่อนที่นำเสนอข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับวัดนี้ ก็ขอยกเรื่องราวในพระไตรปิฎกมาให้ประเทืองปัญญากันซะเล็กน้อยก่อน



มีเรื่องจริงเคยเกิดขึ้นแล้ว ในสมัยหนึ่ง ณ เมืองราชคฤห์ อหิวาตกโรคได้ระบาดอย่างหนัก ทำให้ชาวเมืองต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้แต่ท่านเศรษฐีประจำเมืองและภรรยาที่ว่าดูแลสุขอนามัยเป็นอย่างดี ก็ยังได้รับเชื้ออหิวาตกโรคนี้ด้วย
เมื่อรู้ตนและภรรยาไม่รอดแน่แท้แล้ว จึงสั่งดีกับลูกชายวัย 7 ขวบ ว่า “ทรัพย์สมบัติของตระกูลเรามีอยู่ 40 โกฏิ (สี่สิบล้าน) ฝังไว้ในที่โน้น ถ้าเจ้ารีบหนีออกไปตอนนี้ อาจจะมีชีวิตรอดกลับมาใช้ทรัพย์ แต่ถ้าไม่หนีไปในวันนี้ทรัพย์ทั้งหมดที่มีก็จะสูญเปล่าไปอย่างแน่นอน”
ลูกชายได้ฟังดังนี้แล้ว ก็ร้องไห้ด้วยความอาลัยในพ่อแม่ และร้องเพราะกลัวต่อมรณะภัยที่กำลังจะมาถึงตัว แต่ก็ทราบถึงความประสงค์ของพ่อแม่จึงไหว้เพื่อขอขมาท่านทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย แล้วรีบเก็บสิ่งของที่จำเป็นหนีเข้าไปอยู่ในป่า
12 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก จากเด็กชายกลายเป็นหนุ่ม เขาเดินทางกลับมายังที่อยู่ของพ่อแม่อีกครั้ง ด้วยมาดของคนป่าหนวดเคราพะรุงพะรัง จนไม่มีใครในเมืองจำเขาได้ว่านี้คือลูกชายของเศรษฐี เมื่อมาถึงบริเวณบ้านเขารีบไปดูที่ฝังทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ฝังไว้ยังอยู่ จึงคิดว่า “ในเมื่อใคร ๆ จำเราไม่ได้ ถ้าเราขุดทรัพย์ขึ้นมาใช้สอย โดยที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปแห่งทรัพย์นี้ คนทั้งหลายจะเข้าใจว่าเราไปทำทุจริตมาแน่ ถ้าอย่างนั้น เราควรหางานสักอย่างหนึ่งทำก่อน แล้วค่อยทยอยนำทรัพย์นี้มาใช้ในยามจำเป็น”
(ขนาดได้ทรัพย์มาด้วยบุญของตนเองยังใช้สอยลำบาก เพราะเข้าใจว่าต้องมีพวกที่ริษยาอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาตามเบียดเบียนแน่)
ระหว่างที่ชายหนุ่มลูกเศรษฐีรับจ้างทำงานทั่วไปอยู่นั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จตรวจแผ่นดินผ่านมาที่ทำงานของชายหนุ่มพอดี พระองค์เผอิญได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนนี้เข้าจึงรำพึงขึ้นมาว่า “นี้เป็นเสียงของผู้มีทรัพย์มาก” นางสนมที่ติดตามพระองค์ ได้ยินคำรำพึงนั้น คิดว่า “พระราชาของเราคงไม่ตรัสอะไรเหลวไหลแน่” 
วันต่อมา นางสนมที่ได้ยินคำรำพึงนั้น คุยเรื่องที่ตนได้ยินให้ลูกสาวฟัง พร้อมกับชักชวนกันปลอมตัวเป็นคนพเนจร เพื่อจะได้เข้าไปพิสูจน์ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีทรัพย์จริงหรือเปล่า
นางและลูกสาวเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยอาการของคนพเนจร แล้วบอกว่ากับชายหนุ่มนั้นว่า เขาต้องการที่พักสัก 2-3 วัน ชายหนุ่มเกิดความสงสารจึงให้พัก ระหว่างที่พวกนางพักอยู่ในบ้านนั้น นางสนมผู้เป็นแม่หาอุบายเพื่อให้ชายหนุ่มได้เสียกับลูกสาวของตน
เพียงไม่นานก็เป็นไปตามแผน เมื่อทองเป็นแผ่นเดียวกันทุกอย่างก็ง่ายขึ้น นางออกอุบายต่อเพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์มากจริงๆ พอได้ข้อมูลเพียงพอจนเกิดความมั่นใจแล้ว ก็ส่งข่าวไปยังพระเจ้าพิมพิสาร ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้รับข่าวก็ส่งทหารไปบอกว่า ให้ชายหนุ่มมาเข้าเฝ้าพระราชาโดยด่วน 
ชายหนุ่มเกิดความแปลกใจว่าตนเองไม่เคยทำผิด และไม่เคยรู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินมาก่อน ทำไมวันนี้จึงมีหมายเรียกให้ไปเข้าเฝ้า เขาเลยตอบทหารที่มาทำหน้าที่ส่งสารไปว่า “ตอนนี้มีกิจบางอย่างอยู่ไม่สะดวกที่จะไปในเวลานี้” แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สามก็บอกไปอย่างนั้น จนในที่สุดทหารต้องใช้กำลัง ชุดกระช่างลากดึงเพื่อให้ชายหนุ่มคนนี้เข้าไปเฝ้าให้ได้
เมื่อไปถึงราชวัง
พระเจ้าพิมพิสารถามว่า : เจ้าชื่ออะไร เพราะเหตุใดจึงปกปิดทรัพย์ไว้เป็นอันมาก
ชายหนุ่ม : ข้าพระองค์ชื่อกุมภโฆสก  ข้าพระองค์มีทรัพย์ไว้ใช้เท่าที่จะเป็น
พระเจ้าพิมพิสาร : อย่าพูดอย่างนั้น เจ้าจะลวงข้าทำไม ว่าแล้วก็แสดงกหาปณะ (เงินในสมัยนั้น) ที่ได้จากการใช้สอยของชายหนุ่มนั้น
เมื่อได้เห็นกหาปณะนั้นก็จำได้ว่าเป็นของตน จึงอุทานว่า “ฉิบหายแล้ว ทำไมกหาปณะเหล่านี้จึงได้มาอยู่กับพระราชา” แล้วก็เหลือบมองไปโดยรอบได้เห็นหญิงสองแม่ลูกนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับพระราชา ก็พอเดาความเป็นไปเป็นมาออกว่าทรัพย์นั้นมาอยู่นะที่ตรงนี้ได้อย่างไร
ขณะนั้นเองพระราชาจึงตรัสว่า “พูดมาเถอะ ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้”
ชายหนุ่ม : ที่ข้าพระองค์ไม่เปิดเผยทรัพย์ตั้งแต่แรก เพราะที่พึ่งของข้าพระองค์ไม่มี (เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร)
พระเจ้าพิมพิสาร : แล้วคนเช่นเราไม่ควรเป็นที่พึ่งให้แก่เจ้าหรืออย่างไร
ชายหนุ่ม : ข้าพระองค์เคยได้ยินมาว่า แม้พี่น้องก็ฆ่ากันเองเพราะเรื่องเงินทอง นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ใช่ญาติกัน
พระเจ้าพิมพิสาร : จริงอยู่เรื่องนั้นเคยมี แต่ไม่ใช่เราผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธแน่
เมื่อชายหนุ่มมั่นใจว่าพระเจ้าพิมพิสาร สามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้ จึงบอกข้อมูลทุกอย่าง เมื่อพระราชาตรวจสอบข้อมูล พร้อมกับส่งคนไปตรวจทรัพย์ของชายหนุ่มนั้นแล้วว่าเป็นความจริงจึงแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีประจำเมืองสืบต่อไป



การที่ DSI ตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร โดยไม่มีมูลฐานความผิดตามข้อกฎหมาย
กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การคัดค้านเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งจากฝ่ายอัยการและฝ่ายเจ้าทุกข์
           1) ฝ่ายอัยการได้ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนแล้ว  ไม่พบหลักฐานกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา  จึงปฏิเสธ DSI  เพื่อให้ระงับการสั่งฟ้องข้อหานี้มาถึง 2 ครั้ง
2) ผู้เสียหายโดยตรงคือสหกรณ์ ก็ได้ส่งตัวแทนคือ ปธ.สหกรณ์ และ ปธ.แผนฟื้นฟู ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกสหกรณ์ทั้ง 53,000 คน ออกมายืนยันกับสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า
 ไม่พบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  นำเงินออกมาจากสหกรณ์ ซึ่งตามหลักแล้ว เมื่อมีเสียงคัดค้านจากทั้งอัยการ และเจ้าทุกข์แบบนี้ คดีนี้จะต้องไม่มีเกิดขึ้นในโลก



แต่เมื่อดีเอสไอออกหมายเลขคดีพิเศษ  เพื่อตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร กับเจ้าอาวาสพระธรรมกาย โดยไม่มีมูลฐานความผิดเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การออกหมายเรียกให้ท่านไปพบทั้งที่อาพาธหนัก  การร้องศาลเพื่อขอออกหมายจับทั้งที่คดีไม่มีมูล การออกสื่อชี้นำสังคมว่าท่านมีความผิดทั้งที่คดีไม่มีมูล การปฏิเสธความเห็นของคณะแพทย์โดยขาดการตรวจสอบ การกระทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า ท่านแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงคดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานการกระทำ ที่เข่าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทั้งสิ้น


ด้วยเหตุเหล่านี้ คณะศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงมีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย
 ที่จะปกป้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
 มีสิทธิที่จะออกมาเรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย  ผ่านกระบวนการตามกฎหมายของสำนักงาน ปปช. โดยมีหลักฐานคือการคัดค้านทั้งจากฝ่ายอัยการ ฝ่ายเจ้าทุกข์ และพฤติกรรมที่ดีเอสไอปฏิบัติต่อพระภิกษุอาพาธผ่านสื่อมวลชน
ณ จุดจุดนี้ผู้เขียนก็ขอตอบแทนศิษย์วัดพระธรรมกายทุกคนว่า
“ถ้าหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำงานแบบตรงไปตรงมาเรื่องต่าง ๆ ก็คงไม่มาถึงจุดนี้แน่” อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ท่านผู้อ่านไปตามศึกษาข้อมูลเหล่านี้ เพื่อความกระจ่างแก่ใจของท่านเองด้วย อย่างพึงเชื่อตามที่ข้าพเจ้ากล่าว



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น