วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ด้วยภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าใจเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ 
และเรื่องการทำทานรักษาศีลทำสมาธิภาวนาอย่างถ่องแท้
เมื่อไม่เข้าใจ ก็ไม่เกิดศรัทธาอยากทำทานรักษาศีล และเจริญภาวนา 
ซึ่งปัญหาความไม่เข้าเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพุทธกาล
ดังเรื่องราวต่อไปนี้

มีเสนาบดีท่านหนึ่งไม่เห็นประโยชน์ของการให้ทาน จึงเข้าไปถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
อานิสงค์แห่งทานในปัจจุบันมีบ้างไหม?

                                                 ขอบคุณภาพจากเว็ป dmc.tv

ก่อนที่พระพุทธองค์จะตอบ ท่านถามย้อนกลับไปว่า
ถ้าพระอรหันต์ผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกพระองค์หนึ่ง จะโปรดใครสักคน
ท่านจะเลือกไปโปรดใครก่อนระหว่างคนที่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย 
ชอบพูดส่อเสียด กับคนที่เชื่อเรื่องบาปบุญ ชอบให้สิ่งของ พูดจาดีมีสัมมาคารวะ
-----
เสนาบดีท่านนั้นตอบว่า ก็ต้องมาโปรดคนที่เชื่อเรื่องบาปบุญก่อนสิ พระเจ้าข้า
-----
พระพุทธองค์ถามต่อไปว่า แล้วเครดิต (กิตติศัพท์อันงาม) ของทั้งสองคนนี้ ใครน่าเชื่อถือกว่า
-----
เสนาบดีตอบว่า คนที่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ไม่ให้สิ่งของหรือช่วยเหลือแก่ใครๆ
เลยจะไปมีความน่าเชื่อถือได้อย่าง พระเจ้าข้า
-----
พระสัมมาฯ ถามต่อไปอีกว่า ระหว่างคนทั้งสองนี้ เวลาเข้าไปคบค้าสมาคมกับกลุ่มคนในระดับต่างๆ คนไหนจะดูดีมีสง่าราศี หรือมีความองอาจมากกว่ากัน
-----
เสนาบดีตอบว่า ก็คนที่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ไม่เคยให้สิ่งของอะไรแก่ใครๆ 
จักเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขินได้อย่างไร
-----
เมื่อทั้งสองคนนี้ละจากโลกไป ใครควรได้ไปอยู่สวรรค์ เสนาบดีตอบด้วยความมั่นใจว่า 
คนที่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ มีความตระหนี่ถี่เหนียว
ชอบพูดส่อเสียด เมื่อตายไปจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์อย่างไรได้ ส่วนคนที่มีศรัทธา 
เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน เมื่อตายไปเขาควรจะได้ไปอยู่ในสุคติโลกสวรรค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสยืนยันอีกทีว่า เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านเสนาบดี
-----
ดูก่อนท่าน เสนาบดี อานิสงค์ในปัจจุบัน ๖ ประการ ของการให้ทาน คือ

๑. ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจของชนหมู่มาก

๒. สัปปบุรุษผู้สงบ ย่อมคบหาผู้ให้ทาน

๓. ย่อมได้ฟังพระสัจธรรมจากสัปปบุรุษ

๔. กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ทาน ย่อมขจรทั่วไป

๕. ผู้ให้ทาน ย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของคฤหัสถ์

๖. ผู้ให้ทาน เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์


- สีหสูตร 37/173-177 มมก.

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน
ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
ดังเช่นพุทธดำรัสที่ว่า...
 ภิกษุทั้งหลาย !  ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
หากสัตว์เหล่านั้นยังไม่ได้ให้ทานเสียก่อน ก็จะไม่พึงบริโภค
อนึ่ง มลทินคือความตระหนี่จะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น
แม้ก้อนข้าวของสัตว์เหล่านั้นจะพึงเหลืออยู่คำสุดท้ายก็ตาม ถ้าปฏิคาหกของพวกเขายังมีอยู่
หากสัตว์เหล่านั้นยังไม่ได้แบ่งคำข้าวคำสุดท้ายแม้นั้น (ให้แก่ปฏิคาหก) ก็จะไม่บริโภค.
ภิกษุทั้งหลาย !  แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้
ฉะนั้นสัตว์เหล่านั้นจึงไม่ได้ให้ทานก่อนบริโภค อนึ่ง มลทินคือความตระหนี่จึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น.

 -บาลี ขุ. ขุ. ๒๕/๒๔๓/๒๐๔.