วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558
On 22:25 by EForL No comments
การสังคายนาครั้งที่
3
การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ
พ.ศ. 236 มีปรากฏในอรรถกถา
มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-110) ด้วยเหตุที่ว่ามีพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเนื่องจากพระพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้น
มีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก แต่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทำให้สงฆ์ที่ปฏิบัติชอบเกิดความรังเกียจ
แยกพระจริงพระปลอมไม่ออก พระสงฆ์จึงไม่ทำสังฆกรรมร่วมกันเป็นเวลาถึง 7 ปี ฝ่ายพระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงโปรดให้อำมาตย์ผู้หนึ่งไประงับอธิกรณ์นี้
แต่อำมาตย์ทำเกินเลยบังคับสงฆ์ให้ลงสังฆกรรมร่วมกับเหล่าเดียรถีย์ พวกภิกษุไม่ยอม
อำมาตย์จึงได้ฆ่าภิกษุที่ขัดขืน 2-3 รูป
พระเจ้าอโศกทราบเรื่องเกิดความไม่สบายใจ
จึงสอบถามพวกภิกษุว่าบาปนี้จะถึงแก่พระองค์หรือไม่ ก็ไม่มีภิกษุรูปใดตอบได้
พวกภิกษุจึงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระให้วิสัชชนา พระเถระได้แก้ข้อกังขาว่าบาปเป็นเฉพาะของอำมาตย์เท่านั้นเพราะทำเกินรับสั่ง
พระเจ้าอโศกทรงเลื่อมใสอาราธนาพระเถระให้เป็นผู้ชำระสงฆ์ให้บริสุทธิ์
พระเจ้าอโศกได้โปรดให้ประชุมสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล ทรงสอบถามพระภิกษุ เช่นว่า พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ภิกษุที่ปลอมบวชตอบเป็นทำนองสัสสตทิฏฐิบ้าง
อุจเฉททิฏฐิบ้าง พระเจ้าอโศกก็ให้สึกไปสวมชุดขาวเป็นจำนวนมากถึง 60,000 รูป เมื่อกำจัดภิกษุปลอมบวชได้แล้ว
พระเจ้าอโศกจึงอาราธนาให้สงฆ์ทำอุโบสถกรรม
และพระโมคคัลลีบุตรจึงถือโอกาสทำสังคายนาครั้งที่ 3 โดยเลือกพระอรหันต์จำนวน 1,000 รูปเข้าร่วมทำสังคายนา
ณ อโศการามทำอยู่ 9 เดือนจึงเสร็จ
ในส่วนกรณี
ที่พระเจ้าอโศกจับพระสึกเพื่อกำจัดภิกษุปลอมบวชนั้น ในส่วนหนึ่งถือได้ว่าทำด้วยความหากขาดโยนิโสมนสิกาในการพิจาณาให้ทีถ้วนก่อน
เพราะการใช้วิธีการถามตอบนั้นอาจไม่ใช้วิธีการที่ดีที่สุดในการแยกแยะว่าพระรูปใดเป็นพระจริงพระปลอม
เนื่องจากพระแต่ละรูปนั้นมีความเชียวชาญแตกต่างกัน เช่นบ้างรูปชอบทางปริยัติ
บ้างรูปชอบปฏิบัติเข้าป่าปลีกวิเวก ก็อาจไม่มีความรู้ในทุกๆ เรื่องเสมอไป
ด้วยเหตุนี้อาจมีผลที่ทำให้พระที่บริสุทธิ์ถูกจับสึกไปด้วย
ในการทำสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุตรได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ
ซึ่งเป็นคัมภีร์ในอภิธรรมปิฎกเพิ่มขึ้นด้วยเป็นเรื่องคำถามคำตอบเกี่ยวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
มีคำถาม
500 คำตอบ 500 เพื่อไว้โต้แย้งกับพระพุทธศาสนานิกายอื่น
เพื่อรักษาพระพุทธมติอันบริสุทธิ์ไว้ หลังจากการสังคายนาครั้งที่ 3 เสร็จลงพระเจ้าอโศกมหาราชจึงส่งคณะธรรมทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ
รวม 9 สาย ดังนี้ คือ
1. พระมัชฌันติกเถระไปแคว้นกัศมีร์และคันธาระ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
ซึ่งได้แก่แคว้นแคชเมียร์ในปัจจุบันนี้
2. พระมหาเทวเถระ ไปมัหิสสกมณฑล อยู่ทางทิศตใต้ของแม่น้ำโคธาวารี ซึ่งได้แก่ไมซอร์ในปัจจุบัน
(อยู่ทางทิศใต้ของอินเดียติดกับเมืองมัทราส)
3.
พระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศอยู่ในเขตกนราเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้
4.
พระโยนกธัมมรักขิตเถระ ไปปรันตชนบทอยู่ริมฝั่งทะเลอาระเบียนทิศเหนือของบอมเบย์
5.
พระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปแคว้นมหาราษฎร์ ภาคตะวันตกไม่ห่างจากบอมเบย์
6.
พระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศ ได้แก่ เขตแดนแบคเทียในเปอร์เซียปัจจุบัน
7.
พระมัชฌิมเถระ ไปหิมวันประเทศได้แก่เนปาลซึ่งอยู่ตอนเหนือของอินเดีย
8.
พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระไปสุวรรณภูมิ
9. พระมหินทเถระผู้เป็นโอรสพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่เกาะสิงหล
หรือประเทศศรีลังกา มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา.อ. (ไทย) 1/-/ 111)
สำหรับผลจากการส่งคณะธรรมทูตไปประกาศพระพุทธศาสนา
9 สาย ในครั้งนั้นทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนต่างๆ
และต่อมาได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเอเชียและตะวันตก
ด้วยเหตุนี้เองทำให้พระพุทธศาสนาคงอยู่คู่โลกมาได้จนถึงปัจจุบัน ดั่งที่กองวิชาการ
มหาวิทยาลัยธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย (2550:229)
กล่าวไว้ว่าแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมไปจากอินเดียแล้ว
แต่ก็ยังไม่สูญไปจากโลกเพราะผลจากการเผยแผ่ของสมณทูตของ 9 สาย
ในยุคพระเจ้าอโศก
4. ผลจากการทำสังคายนาครั้งที่
1-3
จากการสังคายนาทั้ง 3
ครั้ง ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
มีผลต่อการรักษาธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก กล่าวคือการสังคายนาครั้งที่
1 หลังพุทธปรินิพพานประมาณ 3 เดือน จากกรณีการจ้วงจาบพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ
แล้วได้มีการรวบรวมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยให้พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญพระธรรมวินัย
เป็นผู้รวบรวมฝ่ายพระธรรมและฝ่ายพระวินัยทำการสังคายนาขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของนิกายเถรวาท
และพระไตรปิฎกในส่วนของพระสูตรและพระวินัยจนถือแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาการสังคายนาครั้งที่
2 นั้นเกิดหลังพุทธปรินิพพานประมาณ 100 ปี
ปรารภเหตุจากการประพฤติย่อหย่อนผิดพระวินัยของ ภิกษุวัชชีบุตร จึงมีการทบทวนพระธรรมวินัย
และภิกษุวัชชีบุตรไม่ยอมรับการสังคายนาในครั้งนั้น
จึงแยกกลุ่มออกมาสังคายนาต่างหากจนเกิดการแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือเถรวาทและมหาสังฆิกะ
ต่อมาก็แตกเป็นอีก 18 นิกาย ในส่วนการสังคายนาครั้งที่ 3
หลังพุทธปรินิพพาน 235 ปี
ปรารภนักบวชนอกพระพุทธศาสนาปลอมบวชอาศัยพระพุทธศาสนาหาเลี้ยงชีพ เมื่อพระเจ้าอโศกชำระจับสึกนักบวชเหล่านั้นแล้ว
จึงได้มีการรวบรวมทบทวนพระธรรมวินัยแยกเป็นพระไตรปิฎกคือ พระวินัยปิฎก
พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก และมีการส่งสมณทูตออกไป 9 สาย
ส่งผลให้พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางและเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนนั้นๆ
และต่อมาแผ่ขยายไปทั้งในเอเชียและตะวันตก ถือได้ว่าการสังคายนามีส่วนสำคัญอย่างมากในการรักษาธรรมวินัย
ซึ่งถือได้ว่าตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้คงอยู่คู่โลกตลอดไป
ในส่วนความคิดเห็นต่างในข้อปฏิบัติ
(สีลสามัญญตา) เช่น การละเมิดสิกขาบทเล็กน้อย
ฝ่ายหนึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่ในความรู้สึกของฝ่ายผู้ที่เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
ถึงจะเป็นการละเมิดสิกขาบทเล็กน้อยก็ตาม ท่านก็จะตำนิอย่างแรง
เพราะถือว่าการไม่ยกเลิกสิกขาบทใดเลย แม้เล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นอกจากนี้ยังมีเรื่องทิฐิมานะ เช่นภิกษุชาววัชชีไม่ยอมรับการสังคายนาครั้งที่ 2 เกิดการไม่ยอมรับกัน
จนทำให้พระพุทธศาสนาแตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ ในเวลาต่อมา
ดังนั้นการมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องธรรมวินัยและถือทิฐิมานะเป็นหลัก จึงเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกจนนำมาสู่การแตกเป็นนิกายต่างๆ
เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
โดยเฉพาะในปัจจุบันความเห็นต่างในข้อปฏิบัติเกิดขึ้นมากหมายในสังคมปัจจุบัน
เกิดการถกเถียงกัน การตีความในธรรมวินัย
และการประพฤติปฏิบัติในข้อพระธรรมวินัยโดยถือตามทิฐิตัวเองเป็นหลัก ทำให้ห่างไกลจากธรรมวินัยดั้งเดิม
นำมาสู่ความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในที่สุด
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น