วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่แดนสุวรรณภูมิตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ซึ่งได้ส่งคณะสมณทูตนำโดยพระโสณะและพระอุตระ
มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเมื่อราว 2,300 ปีก่อน
คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยเท่าที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสุโขทัย
ได้แบ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสี (พระบ้าน) และคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี (พระป่า)
มีแนวปฏิบัติที่หลากหลาย อยู่กันอย่างค่อนข้างเป็นอิสระ ดูแลกันโดยระบบอุปัชฌาย์อาจารย์กับศิษย์ ไม่มีระบบการศึกษาของส่วนกลาง ซึ่งพระภิกษุผู้บวชใหม่จะศึกษาพระธรรมวินัยจากอุปัชฌาย์อาจารย์ของตน ศึกษาหลักธรรมปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่ตนเคารพนับถือ ไม่มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ไม่มีการปกครองตามลำดับชั้นเจ้าคณะตำบล อำเภอ
จังหวัด ภาค
หน ที่มีขึ้นในปัจจุบัน แต่มีการถือปฏิบัติตามพระธรรมวินัยดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงแต่งตั้งภิกษุรูปใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้คณะสงฆ์ยึดถือพระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์
คณะสงฆ์ทั่วประเทศมีพระไตรปิฎกเป็นจุดร่วม ให้ความสำคัญกับการจารจารึกพระไตรปิฎกลงในคัมภีร์ใบลาน เพื่อสืบทอดคำสอน
อาจมีการตีความเพื่อนำมาประพฤติปฏิบัติที่หลากหลายตามความคิดความเชื่อหรือตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน แต่ทั้งหมดก็รวมกันเป็นคณะสงฆ์ไทยที่อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาและเป็นที่พึ่งทางใจให้กับประชาชนชาวไทยมาตลอดนับพันปี ทำให้สังคมไทยสงบร่มเย็น ผู้คนมีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเป็นสุข จนได้ฉายาว่า
“สยามเมืองยิ้ม”
ขณะที่คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศศรีลังกา พม่า มีการแบ่งนิกายจำนวนมาก แต่คณะสงฆ์ไทยสามารถรักษาความเป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายของความคิดและแนวปฏิบัติได้อย่างน่าชื่นชม
คณะสงฆ์ไทยมีการแบ่งนิกายเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่
4 ตั้งแต่เมื่อครั้งพระองค์ทรงผนวชอยู่ ได้มีการตั้งคณะสงฆ์
“ธรรมยุติกนิกาย”
ขึ้น คณะสงฆ์ไทยแต่เดิมจึงเรียกว่า
“มหานิกาย”ในช่วง ร.4-ร.5
ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกอย่างมาก จึงต้องรีบสร้างเอกภาพในชาติเพื่อป้องกันไม่ให้อังกฤษและฝรั่งเศสหาเหตุเข้ายึดครอง ในทางบ้านเมืองมีการปฏิรูปการปกครองประเทศ มีการตั้งกระทรวงมหาดไทย มณฑล
จังหวัด อำเภอ
รวมศูนย์อำนาจการปกครองประเทศเข้าส่วนกลาง
ส่วนในทางคณะสงฆ์ก็มีการออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รศ.121
( พ.ศ.2445 ) ตั้งมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะปกครองระดับชั้นต่างๆ รวมอำนาจการปกครองสงฆ์เข้าสู่ส่วนกลาง จัดทำหนังสือตำราเรียน หลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์จากส่วนกลางทั้งบาลี และนักธรรม กำหนดรูปแบบพิธีกรรมสงฆ์ บทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นให้เหมือนกันทั้งประเทศ เป็นยุคของการสร้างกรอบมาตรฐาน เพื่อให้คณะสงฆ์ทั้งประเทศมาอยู่ในกรอบเดียวกัน และยังรวมไปถึงอำนาจการตีความพระไตรปิฎกและการกำหนดระเบียบปฏิบัติของสงฆ์และชาว พุทธอยู่ในการควบคุมของคณะผู้ปกครองสงฆ์ส่วนกลาง
ดังข้อความตอนหนึ่ง
อันเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณ วโรรสซึ่งได้ทรงนิพนธ์ไว้ในตอนท้ายแห่งแถลงการณ์คณะสงฆ์ก่อนหน้าพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์
ร.ศ. ๑๒๑ ความว่า
“ภิกษุสงฆ์ แม้มีพระวินัยเป็นกฎหมายสำหรับตัวอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ก็ยังจะต้องอยู่ในใต้อำนาจแห่งกฎหมายฝ่ายอาณาจักรอีกส่วนหนึ่ง
ซึ่งตราไว้เฉพาะหรือเพื่อคนทั่วไปและยังควรอนุวัตจารีตของบ้านเมือง อันไม่ขัดต่อกฎหมายสองประเภทนั้นอีก
สรุปความ
ภิกษุสงฆ์มีกฎหมายอันจะพึงฟังอยู่ ๓ ประเภท คือ
กฎหมายแผ่นดิน ๑ พระวินัย ๑ จารีต ๑ พระราชบัญญัตินี้ เป็นกฎหมายแผ่นดินจึงสมควรจะรู้จะเข้าใจ
และปฏิบัติให้ถูกต้อง”
ผลที่เกิดขึ้นตามมาที่น่าสังเกตคือ
ได้เกิดมีกลุ่มชาวพุทธที่ยึดถือหลักการที่กำหนดมาใหม่ดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น
กลายเป็น “พุทธติดกรอบ” มีแนวปฏิบัติที่คอยปฏิเสธความคิดความเชื่อและแนวปฏิบัติของกลุ่มสงฆ์อื่นที่มีความเชื่อและแนวปฏิบัติต่างไปจากฝ่ายตน
จนบางครั้งถึงกับมีการโจมตีหรือชี้นำโดยวางตนในฐานะผู้สอดส่องและตรวจสอบการตีความพระธรรมวินัย
คล้ายกับเป็นตาชั่งหรือบรรทัดฐานของคณะสงฆ์ไทย ตัวอย่างเช่น การตีพิมพ์หนังสือของพระและนักวิชาการหลายท่าน
ต่อต้านแนวคำสอนของคณะสงฆ์ที่เคยมีมา แต่ดั้งเดิม
ซึ่งนอกจากจะเป็นการเบียดเบียนทำลายภาพลักษณ์กันแล้ว กล่าวได้ว่าอาจนำไปสู่การสร้างความแตกแยกในคณะสงฆ์ไทย
ซึ่งเท่ากับได้กำลังสร้างกฏประเภทที่ ๔ ซึ่งอาจเรียกว่า "กรอบ (ความคิดและการปฏิบัติ)"
ที่นอกเหนือไปจากกฏ ๓ ข้อข้างต้น ซึ่งชัดเจนว่า เป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องตามหลักการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์
และถือว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระเถระผู้บริหารปกครองคณะสงฆ์ในอดีต
แต่กรอบความคิดและแนวปฏิบัติที่คณะผู้ปกครองสงฆ์ส่วนกลางพยายามสร้างขึ้นนี้เป็น
ของใหม่ เพิ่งมีอายุเพียงร้อยปีเศษไม่สามารถลบล้างความหลากหลายทางความคิดและแนวปฏิบัติ
ของคณะสงฆ์ไทยที่มีมานานนับพันปีได้เราจึงเห็นการตีความคำสอนและแนวปฏิบัติที่หลากหลาย
ของวัดต่างๆในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ แม้คณะผู้ปกครองสงฆ์ส่วนกลางเอง ในพระอารามหลวงต่างๆ
ก็สามารถเห็นการประกอบพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง การดูหมอ
การปลุกเสกเลขยันต์ พิธีบูชาพระราหู
การจัดสร้างวัตถุมงคล และพิธีกรรมหลากชนิดได้ทั่วไป
คณะสงฆ์และชาวพุทธส่วนใหญ่ทั่วประเทศยังคงมีความเชื่อและแนวปฏิบัติที่หลากหลาย เป็นชาวพุทธกระแสหลักของประเทศ
ปัจจุบันแรงกดดันของลัทธิล่าอาณานิคมผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังมีพระสงฆ์และชาวพุทธส่วนน้อยบางคนติดอยู่ในกรอบที่ถูกสร้างขึ้น มีวิถีความคิดที่คับแคบว่า ต้องตีความพระไตรปิฎกแบบตนเท่านั้นจึงถูกต้อง ปฏิเสธความคิดความเชื่อแนวปฏิบัติอื่นโดยสิ้นเชิง บ้างถึงขนาดหมกมุ่นโจมตีผู้ที่คิดเชื่อไม่เหมือนตน
สมเด็จพระพุฒาจารย์
( โต พรหฺมรํสี)
วัดระฆังฯ ซึ่งเป็นพระมหาเถระมีชื่อเสียงในยุค ร.4
เคยกล่าวไว้ว่า “บาลีมีนัยยะเป็นร้อย
คนความรู้น้อยหาว่าขรัวโตเป็นบ้า ” คำกล่าวนี้สะท้อนแนวคิดของกลุ่มพุทธกระแสหลักได้เป็นอย่างดีว่า ยอมรับความหลากหลายของการตีความและแนวปฏิบัติ ไม่โจมตีกัน
แต่เน้นการสอนประชาชนให้เป็นคนดี ยกระดับศีลธรรมในสังคมให้สูงขึ้น แต่แม้กระนั้น ก็ยังยึดมั่นรักษาพระธรรมวินัย คือพระไตรปิฎก ซึ่งก็มีอยู่แล้วไม่สูญหายไปไหน ไม่มีใครสามารถแก้ไขโดยพลการได้ เพราะถ้าใครไปแก้เพียงเอาไปเทียบกับของเดิมที่มีเผยแพร่นับแสนชุดก็รู้ทันทีไม่มีใครยอมรับ คนทำมีแต่จะเสียไปเอง จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีใครจะมาทำให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยนไปได้
แต่กลุ่มพุทธติดกรอบ
จะติดอยู่ในกรอบความคิดที่คับแคบไม่ยอมรับความเห็นต่าง บ้างถึงขนาดมองว่าผู้ที่คิดเชื่อไม่เหมือนตนเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จ้องโจมตีผู้ที่คิดเชื่อไม่เหมือนตน ละเลยการเผยแผ่ธรมะสู่ประชาชน
ในปัจจุบันนี้
เหตุการณ์ได้ลามไปถึงระดับที่มีพระภิกษุเพียงไม่กี่รูป โจมตีคณะสงฆ์ทั่วประเทศตลอดจนถึงมหาเถรสมาคมและผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชว่ามี
แนวปฏิบัติไม่ถูกต้อง ตนต่างหากคือผู้ยึดถือความถูกต้อง
แต่ครั้นไปดูวัตรปฏิบัติของพระภิกษุผู้นำขบวนของกลุ่มพุทธติดกรอบนี้ กลับพบว่าหาได้ดำเนินตามพระธรรมวินัยอย่างถูกต้องไม่ เช่น มีการตั้งโรงเจในวัด มีการสร้างพระเครื่องโดยกรีดเลือดของตนผสมเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มความขลัง มีการประกอบพิธีโดยมีรูปบูชาทั้งเจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่กวนอิม
พระพิฆเนศ ฯลฯ
นับเป็นความย้อนแย้งที่ประหลาดพิสดารน่าสนใจติดตามว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะก้าวพ้นความขัดแย้งระหว่างความหลากหลายของกลุ่มพุทธ
กระแสหลัก
และความยึดติดคับแคบของกลุ่มพุทธติดกรอบไปได้หรือไม่ เราจะรักษาเอกภาพท่ามกลางความหลากหลายเหมือนที่บรรพบุรุษไทยเคยทำมาได้หรือไม่ หากชาวพุทธส่วนน้อยก้าวพ้นจากความยึดติดในกรอบที่ถูกสร้างขึ้น ยอมรับความเห็นต่างและแปรเปลี่ยนพลังของตนจากการมุ่งใช้ทำลายล้างผู้เห็นต่าง มาเป็นพลังสร้างสรรค์ มุ่งเผยแผ่ธรรมะอย่างที่ตนเชื่อสู่ประชาชน ความสงบร่มเย็นความสมัครสมานสามัคคีก็จะกลับมาสู่สังคมไทย “สยามเมืองยิ้ม”
ย่อมจะกลับคืนมาครั้งอย่างแน่นนอน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น