วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


ปัจจุบันในต่างประเทศ นับตั้งแต่นักวิชาการ ดารา นักแสดง นักกีฬา หรือแม้แต่ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ หันมานับถือพระพุทธศาสนากันมากขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกเสรี เปิดโอกาสให้คนเริ่มใช้สติปัญญาไตร่ตรองภาพรวมถึงความเป็นเหตุเป็นผลของข้อมูลที่ได้รับมากขึ้น เลยทำให้เขาหลุดออกมาจากกรอบความเชื่อที่ถูกครอบเอาไว้ แล้วกลายเป็นต้องการแสวงหาความจริงว่าคำสอนใดที่มีเหตุมีผลมากที่สุด สุดท้ายก็มาพบเจอคำสอนในพระพุทธศาสนา



สำหรับชาวพุทธทั่วโลกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2558 ที่ผ่านมา ทำเนียบขาว (The White House) ได้เชิญ (นิมนต์) คณะผู้แทนของชาวพุทธจากทั่วโลก เพื่อมาร่วมสัมมนาเกี่ยวกับบทบาทของศาสนาพุทธที่มีต่อโลก โดยมีหัวข้อสำคัญในการสัมมนาดังต่อไปนี้
- วันวิสาขที่จะจัดขึ้น ณ WASHINGTON DC ในปีนี้ จะจัดอย่างไร
- องค์กรพุทธมีวิธีการอย่างไร ที่จะช่วยเหลือคนในสังคม
- องค์กรพุทธมีเครือข่ายช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับภัยพิบัติอย่างไร
- องค์กรพุทธมีความคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่เกิดในปัจจุบัน
- องค์กรพุทธทำโครงการอะไรบ้างในปัจจุบัน
-องค์กรพุทธมีบทบาทในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่โลกอย่างไร มีแผนงานที่กำลังทำอยู่ที่ไหน อย่างไร
- การปฏิบัติสมาธิมีผลดีต่อมวลมนุษยชาติอย่างไร และมีผลต่อโลกอย่างไร มีผลของการปฏิบัติที่ให้ผลจริง ๆ กับผลเมืองของโลกที่ไหน อย่างไร
ซึ่งหัวข้อทั้งหมดนี้ทางผู้นำองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ขึ้นไปนำเสนอได้อย่างน่าประทับใจ และเป็นที่พอใจของคณะกรรมการจากทำเนียบขาวเป็นอย่างมาก



จะเห็นได้ว่าคนในโลกนี้ กำลังโหยหาความรู้ที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพได้อย่างแท้จริง แล้วพระพุทธศาสนาเรามีหลักคำสอนที่ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพราะจุดแข็งของเรา คือมีธรรมที่เป็น "สัจธรรม" ขาดแต่ผู้ที่จะนำความรู้เหล่านี้ไปสู่ใจของมวลมนุษยชาติ


เพราะฉะนั้น ในฐานะของเราที่เป็นพุทธศาสนิกชน ต้องช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยใช้หลักของพระพุทธเจ้าที่ว่า จงบำเพ็ญประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ประโยชน์ตนก็คือ ตัวเองต้องทำให้ดี ถ้าเราอยากจะเผยแผ่ ตัวเราเองนั้นต้องเข้าวัด ศึกษาธรรมะ รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ทำให้ครบสม่ำเสมอ พอเราทำตัวให้ดีจนคนรอบข้างเขารู้สึกว่าเรานั้นไม่เหมือนเดิม ดีขึ้นแต่ไม่ใช่ในเชิงไปข่มเขา ให้เห็นว่าเป็นคนที่นุ่มนวล ใจเย็น มีน้ำใจ มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานทุกอย่างดีขึ้นหมดเลย จนเขายอมรับว่ามาวัดแล้วดี พอทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะมีน้ำหนักคำพูด เพราะสิ่งที่เราทำเป็นตัวรับประกันเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาเราชวนคนรอบตัวเรา ญาติพี่น้อง สมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง คนรู้จัก ให้เข้ามาวัดทีละคนสองคน คนไหนชวนง่ายก็ให้ชวนคนนั้นมาก่อน   ค่อย ๆ ชวนมาทีละนิดแล้ววงก็จะขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดสามารถคลอบคลุมไปถึงคนทั้งโลกได้จริงอย่างแน่นอน





วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

On 04:32 by EForL   No comments












ทำไม UN จึงกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็น วันสำคัญของโลก

เหตุมีอยู่ว่าระหว่างวันที่ ๙ -๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธทั่วโลก ได้ประชุมปรึกษาหารือและพร้อมใจกันนำเสนอให้องค์การสหประชาชาติ พิจารณาและเห็นชอบที่จะประกาศให้วันวิสาขเป็นวันสำคัญของโลก
ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ ๕๔ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๒)  องค์การสหประชาชาติ (United Nation:UN) ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกัน ประกาศให้วัน วิสาขบูชาถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลก ทั้งนี้เพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า
พระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จาก การยกเลิกการแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กล่าวคือทรงสอนให้มนุษย์ ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนา สามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ”
 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อชาวโลก โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น วรรณะนี้เองจึงทำให้องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันวิสาขเป็นวันสำคัญของโลก

ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ จึงควรศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในวันสำคัญนี้ และพร้อมจะย่อมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดตลอดชีวิต ได้อย่างภาคภูมิใจ


วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

On 04:12 by EForL   No comments
การที่บุคคลคนหนึ่ง มีความคิดขึ้นมาในใจว่า “อยากจะออกจากทุกข์แล้วช่วยเหลือคนอื่นๆให้ออกจากทุกข์ด้วย” ถือเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่มาก ในภาษาพระบุคคลที่มีความคิดเช่นนี้ เรียกว่า พระโพธิสัตว์
คนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องใช้เวลาสร้างความดีและฝึกฝนอบรมตนเองมาหลายภพ หลายชาติมากจนในที่สุด เมื่อคุณธรรมความดีภายในตัวเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ก็ได้ตรัสรู้ธรรม เปลี่ยนสถานะตนเองจากพระโพธิสัตว์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในพระไตรปิกฎได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พระโพธิสัตว์ เปลี่ยนสถานะพระองค์เองมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้น่าสนใจมาก ซึ่งตัวผู้เขียนได้อ่านเรื่องราวนี้เป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการขนลุกด้วยความปีติ และภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ และคิดว่าชาวพุทธทั้งหลายคงมีความรู้เช่นเดียวกัน ถ้าได้ทราบเรื่องราวนี้




หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว พระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า


“เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหาผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบได้ท่องเทียวไปในวัฏสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งปวงของท่านเราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้วเราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ”



เมื่อได้อ่านประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (เพราะชอบประโยคนี้มาก) จึงลองตีความตามดวงปัญญาอันน้อยนิดของตนเองได้ว่า
ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น (ตัณหา) ในดวงจิตทำให้เกิดร่างกาย (เรือน) เมื่อยังตัดความอยากเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่บ่อย ๆ ซึ่งการเกิดบ่อย ๆ นี้เป็นทุกข์มาก เกิดเป็นคนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย เกิดเป็นคนจนก็ทุกข์แบบคนจน เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งทุกข์
เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมพระองค์ได้เข้าไปเห็นตัวที่ทำให้เกิดความอยากเหล่านั้น พระองค์ได้หักโครงเรือนคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และทำลายยอดเรือนคือความไม่รู้ทั้งหลายหมดสิ้นแล้ว จิตของพระองค์สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีเชื้อให้ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป (นิพพาน)

           คนที่สามารถเปล่งคำพูดได้อาจหาญอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ในโลกนี้คงไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรภาคภูมิใจที่ศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้ ทำให้เราได้มีโอกาสไปวัด ได้ทำบุญ และได้ศึกษาพระธรรมเทศนาแล้วนำคำสอนมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง

           ในเส้นทางแห่งการเวียนวายตายเกิดอันยาวไกลนี้ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลสก็ต้องเกิดอยู่เรื่อย ๆ ส่วนว่าจะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่เราจะออกแบบเอาเองในชาตินี้ แล้วท่านทั้งหลายกำลังออกชีวิตกันอย่างไรในชาตินี้