วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558
On 22:00 by EForL in การสังคายนา No comments
การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร
(ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได้ปรารภเรื่องปัญหาของศาสนาเชนที่เกิดขึ้นนั้นเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคำสอนไว้
เพราะฉะนั้นพระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ควรจะได้ทำการสังคายนา คือรวบรวมร้อยกรองประมวลคำสอนของพระองค์ไว้ให้เป็นหลัก
เป็นแบบแผน โดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรง มาจัดเป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่หมวดหนึ่ง
ไปจนถึงหมวดสิบ จัดเป็นพระสูตรหนึ่งเรียกว่าสังคีติสูตร
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (2554:13) กล่าวไว้ว่า วิธีรักษาพระธรรมวินัย ก็คือการรวบรวมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
แล้วจัดหมวดหมู่ให้กำหนดจดจำได้ง่าย และซักซ้อมทบทวนกันจนลงตัว แล้วสวดสาธยายพร้อมกันแสดงความยอมรับเป็นแบบแผนเพื่อทรงจำสืบต่อกันมา
วิธีการนี้เรียกว่า สังคายนา หรือ สังคีติซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า การสวดพร้อมกัน
(จาก สํ “พร้อมกัน” + คายน หรือ คีติ “การสวด”)
การสังคายนาในพระพุทธศาสนาถือได้ว่าเป็นวิธีการรักษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ให้แม่นยำที่สุด
ไม่ให้ใครมาเที่ยวแก้ไขให้คลาดเคลื่อนหรือตัดแต่งต่อเติมตามใจชอบ เราเพียงมาตรวจทาน
มาซักซ้อมทบทวนกัน ใครที่เชื่อถือหรือสั่งสอนคลาดเคลื่อน หรือผิดแผกไป ก็มาปรับให้ตรงตามของแท้แต่เดิม
ในการทำสังคายนาที่เป็นที่ยอมรับกันของทุกนิกายคือการสังคายนาครั้งที่
1 และครั้งที่ที่ 2 ส่วนการสังคายนาครั้งที่ 3
นั้นยอมรับเฉพาะฝ่ายเถรวาท และในส่วนการสังคายนาครั้งที่ 4 นั้นฝ่ายเถรวาทไม่ยอมรับ เพราะถือว่าเป็นส่วนของมหายานที่แยกออกมา
จากข้อมูลในสังคีติสูตรนั้น แม้ว่าพระสารีบุตรได้แสดงตัวอย่างวิธีการทำสังคายนาไว้แล้วก็ตาม
แต่ท่านก็ได้ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ต่อมาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3
เดือนได้เกิดการทำสังคายนาขึ้น มีเรื่องราวปรากฏในปัญจสติก ขันธกะ (วิ.จู.
(ไทย) 7/ 437-445/ 375-392) ว่าด้วยมูลเหตุการณ์ทำสังคายนาครั้งที่
1 มีเนื้อหาโดยรวมคือ พระมหากัสสปเถระ เมื่อทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
พระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะจำนวนมากซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่
ก็ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้นมีพระภิกษุที่บวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ
ได้พูดขึ้นมาว่า กล่าวจ้าบจ้วงพระธรรมวินัย พระมหากัสสปเถระได้ฟังคำนี้แล้ว ก็ยังมีคนคิดที่จะประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัย
ท่านก็เลยคิดว่าควรจะทำการสังคายนา ท่านจึงวางแผนว่าจะชักชวนพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีอยู่สมัยนั้น
ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ จะชวนให้มาประชุมกันมาช่วยกันแสดง
ถ่ายทอด รวบรวมประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตกลงวางมติไว้ ก็คือคิดว่าจะทำสังคายนาแต่เฉพาะเวลานั้น
ท่านต้องเดินทางไปยังเมืองกุสินารา แล้วก็เป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
ในพระราชูปถัมภ์ของกษัตริย์มัลละทั้งหลาย เมื่องานถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว ท่านก็ดำเนินงานตามที่ได้คิดไว้คือได้ชักชวนนัดหมายกับพระอรหันต์ผู้ใหญ่เพื่อจะทำการสังคายนา
ซึ่งมีการเตรียมการถึง 3 เดือน ก่อนที่จะประชุมที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา
ณ ภูเขาชื่อเวภาระ นอกเมืองราชคฤห์ ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรูในการประชุมสังคายนาครั้งนี้
พระมหากัสสปเถระ ทำหน้าที่เป็นประธาน โดยเป็นผู้ซักถามหลักคำสั่งสอน ซึ่งพระพุทธเจ้าเองทรงแบ่งไว้เป็น
2 ส่วน คือ พระธรรมและวินัย ในการสังคายนาครั้งนี้ มีการเลือกพระเถระ
2 รูป ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของพระธรรมวินัย ฝ่ายธรรมก็คือพระอานนท์
ส่วนด้านวินัย พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระอุบาลีไว้ว่าเป็นเอตทัคคะ ที่ประชุมก็คัดเลือกพระอุบาลีให้มาเป็นผู้นำในด้านการวิสัชนาเรื่องของวินัย
เมื่อได้ตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว พระอรหันต์ 500 รูป ก็เริ่มประชุมกัน
จากนั้นก็ให้พระเถระทั้งสองรูปนำพุทธพจน์มาสาธยายแสดงแก่ที่ประชุม โดยประธานในที่ประชุมคือพระมหากัสสปะ
วางแนวการนำเสนอด้วยการซักถามอย่างเป็นระบบ คือตามลำดับและเป็นหมวดหมู่พุทธพจน์
ในระหว่างสังคายนา พระอานนท์ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า
พระสัมมาพุทธเจ้าทรงอนุญาตว่า ถ้าสงฆ์เห็นสมควรก็สามารถเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้
แต่ประชุมความเห็นไม่ตรงกันว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นหมายถึงสิกขาบทข้อใดบ้าง
พระมหากัสสปะจึงสรุปว่าจะไม่เพิกถอนสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว
และจะไม่บัญญัติสิกขาบทที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้
ซึ่งที่ประชุมสงฆ์ก็รับรองเป็นเอกฉันท์
จึงเป็นหลักปฏิบัติต่อมาของคณะสงฆ์โดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทจนมาถึงปัจจุบัน การทำสังคายนาครั้งนี้ดำเนินอยู่เป็นเวลา
7
เดือน จึงเสร็จสิ้น
หลักจากนั้นไม่นาน ก็มีพระเถระชื่อ
พระปุราณะ พร้อมลูกศิษย์ 500 รูป เดินทางสู่เชตวัน
กรุงราชคฤห์ พระที่ร่วมกันสังคายนาก็ได้ไปแจ้งให้ทราบว่าได้ทำสังคายนาเสร็จแล้ว
ขอให้ท่านรับมติของสงฆ์ด้วย แต่พระปาณะกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย
ภิกษุผู้เถระทั้งหลายสังคายนาพระธรรมและวินัยดีแล้ว แต่ท่านจะทรงจำไว้ตามที่ได้ยินเฉพาะพระพักตร์
(วิ.จู. (ไทย) 7 / 444/ 385-386) พระปุราณะมีความเห็นส่วนใหญ่ตรงกับการสังคายนาครั้งนี้
แต่มีเพียงเรื่องกถาวัตถุ 8 ที่เป็นพุทธานุญาตพิเศษเมื่อคราวเกิดทุพพภิขภัย
แต่ในภายหลังทุพพภิกขภัยสงบลงพระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามกถาวัตถุ 8 พระปุราณะและศิษย์คงไม่ทราบตอนที่พระพุทธองค์ทรงห้ามจึงยังคงถือปฏิบัติตามที่ได้สดับมาจากพระพุทธองค์
(วิ.มหา. (ไทย) 5/ 274/ 72)
ด้วยเหตุนี้เองความเห็นต่างในเรื่องข้อปฏิบัติ
(สีลสามัญญตา) เกิดขึ้นตั้งแต่การสังคายนาครั้งแรก แต่ก็ไม่ทำให้เกิดการแตกนิกาย
มูลเหตุการณ์สังคายนาครั้งที่
1
1. มูลเหตุในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นจากกรณีการจ้วงจาบพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ
เมื่อพระมหากัสสปเถระได้ฟังแล้งก็รู้สึกสลดใจ ดำริว่าหากปล่อยไว้นานเข้า คำสอนของพระพุทธศาสนาอาจถูกบิดเบือนไปได้
2. เพื่อความยั่งยืนของพระธรรมวินัย และความถูกต้อง
3. เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า (เสถียร โพธินันทะ.2543:56)
ผลที่เกิดจากการสังคายนาครั้งที่
1
1. เกิดการเรียบเรียงพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ และให้เกิดความชัดเจน นอกจากนี้ก็ยังทำให้ทรงจำได้สะดวก
และง่ายต่อการแบ่งหน้าที่กันในการรักษา มีการพระวินัยและพระธรรมเป็นหมวดหมู่
มีการปรับอาบัติพระอานนท์ มีการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
มีการยอมรับมติของพระมหากัสสปะให้คงสิกขาบทเดิมไว้ทั้งหมด
2. ในการสังคายนาครั้งนี้ทำให้เกิดพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท คือยึดถือคำสอนตามหลักการของพระเถระ
500 รูป ที่ประชุมทำสังคายนาครั้งที่ 1 ซึ่งถูกเรียบเรียงเป็นพระสูตรและพระวินัยเกิดขึ้น ถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตรงตามพุทธบัญญัติ
จึงมีการท่องจำสืบต่อกันมาและถือตามนั้นโดยเคร่งครัดตลอดมา จนถึงปัจจุบัน
3. เกิดความเห็นต่างในเรื่องทิฏฐิสามัญญตา(ความเห็น)
และสีลสามัญญตา(ข้อปฏิบัติ) ไม่ตรงกัน จะเห็นได้จากกรณีเหตุการณ์ของพระปุราณะและลูกศิษย์
แม้ในขณะนั้นยังไม่เกิดการแตกนิกายก็ตาม แต่มีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการสังคายนาและการแตกนิกายในครั้งต่อมา
ซึ่งสอดคล้องกับ เสถียร โพธินันทะ (2543:56) กล่าวไว้ว่า
“ในการสังคายนาครั้งที่ 1 เกิดจากการทำสังคายนาเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีภิกษุอีกหลายกลุ่มที่ไม่ได้เข้าประชุม และในจำนวนนั้นมีบางกลุ่มที่ไม่พอใจในการสังคายนาของฝ่ายพระมหากัสสปะ
โดยเฉพาะสงฆ์ฝ่ายพระปุราณะ” ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดความคิดเห็นในข้อปฏิบัติที่แตกต่าง
ส่งผลให้เกิดการสังคายนาครั้งต่อๆ มา จนนำมาสู่การแตกออกเป็นนิกายต่างๆ มากหมายมาถึงปัจจุบัน
4. เป็นการประกาศให้รู้ทั่วกันว่า
พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาแทนพระองค์สืบต่อมา
ถึงแม้ว่าพระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ตาม
5. เป็นการป้องกันการกล่าวว่าร้ายต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร้เหตุผลในอนาคต
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น