วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
คำถาม : คำกล่าวหาที่ว่า...
วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ!!! สรุปแล้วเป็นภัยจริงหรือไม่???
คำตอบ :
ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถือว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก!!! แต่เลื่อนลอย และไม่มีเค้าความเป็นจริงเลยสักนิด เพราะกิจกรรมทุกกิจกรรม
รวมถึงนโยบายทุกนโยบายของวัดพระธรรมกายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีกิจกรรมไหนหรือนโยบายใดที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้เลยสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านการเมือง เศรษฐกิจ
หรือสังคม-จิตวิทยา ส่วนว่าความเป็นจริงเป็นเช่นไรเราลองมาดูกันทีละประเด็น
ประเด็นแรก : ความมั่นคงทางด้านการเมือง
สำหรับประเด็นนี้ “ถ้าคนที่มองโลกในแง่ร้าย”
ก็อาจจะมองว่า...การที่วัดพระธรรมกายสามารถรวมคนได้เป็นหลักหมื่น หลักแสนอย่างเป็นระบบระเบียบ ในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านการเมืองได้
(ถ้าหากวัดพระธรรมกายเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล) แต่ในความเป็นจริง!!!
เนื่องจากวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรพุทธศาสนาซึ่งบุคลากรโดยส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุสงฆ์
เพราะฉะนั้น...ด้วยตัวบทกฏหมายของประเทศไทยและกฏมหาเถรสมาคมจึงไม่ได้ให้สิทธิหรือเปิดช่องให้พระภิกษุมีบทบาททางด้านการเมือง
อีกทั้งตามหลักพระธรรมวินัย...การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ใช่กิจของสงฆ์ วัดพระธรรมกายจึงได้ยึดถือและออกกฏข้อห้ามที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองจำนวน
2 ข้อ (จากทั้งหมด 10 ข้อ) มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2518 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฏหมาย ,
กฏมหาเถรสมาคม และพระธรรมวินัยว่า... “ห้ามโฆษณาชวนเชื่อหรือหาเสียงใดๆ ทั้งสิ้น” (ในกฏข้อที่ 6) และ
“ห้ามทำนายทายทักโชคชะตาหรือคุยกันเรื่องการเมืองที่ทำให้ร้อนใจ”
(ในกฏข้อที่ 8)
และด้วยความที่บุคลากรภายในวัด (ทั้งพระภิกษุ - สามเณร
รวมถึงอุบาสกและอุบาสิกา) ต่างมีมโนปณิธานในการสั่งสมบุญสร้างบารมีตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ รูปและทุกๆ คนจึงยึดถือกฏระเบียบทั้ง 2
ข้อนี้ (รวมถึงข้ออื่นๆ ที่เหลือ) กันอย่างเคร่งครัด
ถึงแม้ทางวัดจะออกกฏห้ามไม่ให้บุคลากรภายในวัดไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็ตาม แต่เมื่อถึงคราวที่ภาครัฐต้องการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทางวัดก็ไม่ได้ปิดกั้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นบุคคลากรภายในวัด ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามหน้าที่พลเมืองดีของชาติ
ในส่วนของสาธุชนที่มาแสวงบุญที่วัด แม้แต่ละคนจะมีแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย (เรียกได้ว่า...มีครบทุกสี
ทุกพรรค ทุกประเภท ทั้งที่สนใจการเมืองและไม่สนใจการเมือง) แต่ด้วยกฏระเบียบที่ทางวัดวางนโยบายเอาไว้ สาธุชนทุกคนจึงเข้าใจและมุ่งมาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม สั่งสมบุญสร้างบารมี โดยละทิ้งความเห็นต่างทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ชั่วคราว
ส่วนว่าเมื่อแต่ละคนกลับออกไปดำเนินชีวิตทางโลกตามปกติ ใครจะคิด!!! ใครจะพูด!!! หรือใครจะทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ในส่วนนี้วัดพระธรรมกายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะทางวัดไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงหรือละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลของใครได้ เนื่องจากแนวคิดทางการเมืองเป็นเรื่อง “ปัจเจกบุคคล” ที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพตามกฏหมาย
และจากที่กล่าวมาทั้งหมด...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย
จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านการเมือง
ประเด็นที่สอง : ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!!! วัดพระธรรมกายไม่เคยกระทำการใดๆ
ที่มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดภาวะล้มเหลว
หรือทำให้ผลผลิตโดยรวมของประเทศตกต่ำ หรือทำให้รายได้ของประเทศขาดเสถียรภาพเลยสักครั้งเดียว
ในทางตรงกันข้าม!!! กิจกรรมหลายๆ กิจกรรมที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น
เช่น...กิจกรรมจัดบวช
หรือกิจกรรมตักบาตร เป็นต้น กลับเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นที่มีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการโรงแรม
, ร้านค้า , ร้านอาหาร
รวมถึงเหล่าพ่อค้าแม่ขายข้างทาง
ต่างก็ได้ประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าวกันถ้วนหน้า
เมื่อคนเหล่านี้มีรายได้ก็จะนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยและนำไปมาเสียภาษีให้กับรัฐ รัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้พัฒนาและบริหารประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น...นำไปเป็นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับชั้นตั้งแต่นายกไล่เรื่อยมา เป็นต้น เรียกได้ว่า...เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ล้วนมีส่วนกลับไปหล่อเลี้ยงคนทุกระดับตั้งแต่ระดับนายกฯ
จนกระทั่งรากหญ้า
หรืออย่างการก่อสร้างศาสนสถานของวัดพระธรรมกาย ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน กล่าวคือ...เมื่อทางวัดจะก่อสร้างศาสนสถานเพื่อใช้ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาสักโครงการหนึ่ง ทางวัดก็ต้องไปจัดจ้างบริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
บริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก็ต้องไปจ้างคนงาน พอทุกคนมีงานก็เลยมีเงินสำหรับใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและมีเงินสำหรับไปจ่ายภาษีให้กับรัฐ สุดท้ายรัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้บริหารประเทศและทำประโยชน์ให้กับประชาชน
ซึ่งวงจรเศรษฐกิจดังกล่าว!!! ล้วนส่งผลทำให้ประเทศชาติมีเงินหมุนเวียนและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศไม่หยุดชะงัก
นักลงทุนต่างชาติก็จะเกิดความมั่นใจและกล้าที่จะนำเงินมาลงทุนกันมากขึ้น
และจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่
นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านเศรษฐกิจ
ประเด็นที่สาม : ความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา
สำหรับประเด็นนี้!!! วัดพระธรรมกายขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า...ทุกนโยนบายและทุกกิจกรรมของทางวัด ไม่มีเรื่องใดเลยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาที่ดำเนินงานทุกอย่างอยู่ภายใต้
“หลักของกฎหมาย , กฎมหาเถรสมาคม รวมถึงจารีตประเพณีอันดีงามที่ปู่ย่าตายาย และเหล่าบรรพชนได้ประพฤติสืบทอดต่อๆ กันมา” อย่างเคร่งครัด
ดังนั้น...ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของทางวัด จึงไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบหรือทำให้เกิดการทำลายองค์คุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้...ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกายยังมุ่งเน้นอบรมและฟื้นฟูศีลธรรมให้แก่คนในสังคมในทุกระดับชั้น อีกทั้งยังมีการจัดสอนสมาธิให้แก่ประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตทั้งทางกายและทางใจที่ดีขึ้น ไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ลดทอนคุณธรรม หรือทำให้คุณภาพชีวิต (ทั้งทางกายและทางใจ) ของคนในสังคมลดลง
และที่สำคัญทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านลบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา , ระเบียบวินัย , ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม
, สุขภาพ หรือด้านคุณธรรม เพราะทางวัดมุ่งเน้นจัดกิจกรรมที่เพิ่มพูนคุณธรรมในทุกๆ
เรื่อง ให้กับคนในสังคม
ดังนั้น...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านสังคม-จิตวิทยา
ถ้าถามว่ามีประเด็นอะไรบ้าง!!! ที่วัดพระธรรมกายถูกเชื่อมโยงว่า
“เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จริงๆ ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องดังนี้
1.มีคนมาวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก
สำหรับประเด็นนี้!!! ถือเป็นการตั้งข้อสังเกตที่เกินกว่าเหตุและดูจะไร้ซึ่งเหตุผลไปสักหน่อย เพราะในความเป็นจริง!!!
การจัดกิจกรรมรวมคนของวัดพระธรรมกายไม่ว่าจะหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน (และกำลังจะไปสู่หลักล้านในอนาคต) ทุกกิจกรรมล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการอบรมศีลธรรมและสอนสมาธิให้แก่สาธุชนที่มาแสวงบุญทั้งสิ้น
อีกทั้ง...คนที่มาร่วมกิจกรรมกับทางวัด ก็มาเพื่อมาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาละชั่ว
ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีทุกระดับชั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลไล่เรื่อยไปจนถึงระดับ “Professor” และที่สำคัญ...กิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเมือง , เศรษฐกิจ รวมถึงสังคม-จิตวิทยาเลยสักนิด
ถ้ามองแบบ “ผู้มีสติปัญญาและมีจิตใจที่เที่ยงธรรม” ก็คงจะเห็นประโยชน์และเห็นแต่สิ่งดีๆ ที่เกิดจากกิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้นว่า...
“มีส่วนช่วยทำให้ประเทศของเรามีบุคลากรที่ดี (ทั้งความรู้ดี ความสามารถดี ความประพฤติดี) และมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป”
ซึ่งในจุดนี้!!! ถือว่ามีส่วนช่วยภาครัฐประหยัดงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำเงินไปใช้ในการแก้ปัญหาและปราบปรามคนที่ประพฤติผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย และที่สำคัญ...เงินที่ใช้จัดกิจกรรมดังกล่าว ทางวัดไม่เคยเบิกงบประมาณของประเทศชาติมาใช้เลยแม้แต่บาทเดียว
พูดได้เต็มปากว่า...ทั้งจัดงานเองและออกเงินเองล้วนๆ
เพราะฉะนั้น...กิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ
ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าการที่วัดพระธรรมกายจัดกิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ
(อย่าง...กิจกรรมตักบาตรพระเพื่อช่วยเหลือพระที่อยู่ในเขตพื้นที่
4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น.) ถูกคนบางกลุ่ม (รวมถึงคนของหน่วยงานราชการ)
มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
แล้วสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมให้คนมาทำบาปอกุศล (อย่างในผับ
, ในบาร์ หรือในบ่อนการพนัน) มันไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติมากกว่ารึ!!! เพราะสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นต้นตอและเป็นบ่อเกิดของปัญหาครอบครัวและปัญหาสังคมลำดับต้นๆ ดังนั้น...ถ้าใครคิดจะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ
จุดที่ควรเป็นกังวลมากที่สุดคือแหล่งรวมให้คนมาทำบาปอกุศลและเขตพื้นที่
4 จังหวัดชายแดนภาคใต้โน่น!!! ไม่ใช่วัดพระธรรมกาย
อันที่จริง!!! เราควรดูวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมรวมคนของทางวัดว่า...ที่คนมารวมตัวกันเยอะๆ
เขามารวมกันทำอะไร???
จากนั้นก็ใช้สติปัญญาพิจารณาหาคำตอบด้วยใจที่เที่ยงธรรมว่า... ที่เขารวมตัวกันมา!!!
เขามารวมกันทำความดี ไม่ได้มาก่อความวุ่นวายให้ประเทศชาติบ้านเมืองใช่หรือไม่???
แล้วที่มีคนมารวมตัวกันเยอะๆ เขามารวมตัวกันเพื่อศึกษาธรรมะมาสั่งสมบุญกุศล ไม่ได้สร้างปัญหาให้สังคมหรือใครใช่หรือเปล่า???
ในจุดๆ นี้
คนที่ดูแลภาพรวมเรื่องความมั่นคงของชาติควรใช้ “สติปัญญาที่ประกอบด้วยใจที่เที่ยงธรรม”ในการพิจารณาเรื่องนี้ให้มากๆ
(ที่แนะนำแบบนี้!!!
ก็เพราะเชื่อในสติปัญญา ความรู้ความสามารถ และคุณธรรมของคนที่ทำหน้าที่นี้ว่าต้องไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะมาทำหน้าที่สำคัญแบบนี้ได้อย่างไร!!! แต่ถ้ามีสติปัญญาและมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมขนาดนี้แล้วไม่นำสติปัญญาและมีคุณสมบัติที่มีอยู่มาใช้
หรือใช้เพียงเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะทำให้เวลาตัดสินอะไรอาจเกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้
อุปมาเหมือนคนที่สายตาดี...แต่ดันชอบหรี่ตาดู เวลามองดูอะไรก็เลยทำให้เห็นไม่ชัด เช่น…เห็นเครื่องบินกลายเป็นนก เห็นมดกลายเป็นปลวก...แบบนี้เป็นต้น)
เพราะฉะนั้น...จากเหตุผลที่ได้อธิบายมาทั้งหมด จึงมองไม่ออกว่ากิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปได้อย่างไร
2.คำสอนของวัดพระธรรมกาย
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าจะถูกโยงว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ได้เลย แต่สุดท้ายก็ถูกโยงเข้าจนได้ ถ้าหากใครได้ศึกษาแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายอย่างถ่องแท้ จะพบว่าคำสอนของวัดพระธรรมกายล้วนอ้างอิงตามพระไตรปิฎกทั้งสิ้น จะมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เป็นเรื่องราวที่ไม่มีการบันทึกในพระไตรปิฎก
เพราะเป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่าของเหล่าผู้มีรู้มีญาณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอจินไตยที่ต้องอาศัยการปฏิบัติถึงจะเข้าใจเนื้อหาในส่วนนี้
และจากการวิเคราะห์ประเด็นที่มีคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายแบบสุดขั้ว) พยายามจุดประเด็นให้คนในสังคมเข้าใจแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายในแบบผิดๆ
พบว่า...ในหลายๆ ครั้งคนกลุ่มนี้จะเลือกเอาคำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย (เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีบันทึกในตำราและง่ายแก่การโจมตี) แล้วใช้วิธีการ “ตัดตอนคำ
& ตัดตอนคลิป” (ที่ตัวเองเห็นว่าพอจะนำมาตีประเด็นให้คนเข้าใจผิด) มานำเสนอแค่บางช่วง (ไม่ได้ยกเนื้อหาที่แสดงถึงที่มาที่ไปของคำสอนมาแสดงทั้งหมด)
จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะนำคำสอนและคลิปที่ถูกตัดตอน มาตีความจนไม่ได้ความ!!!
(คือ...ใส่ความเห็นที่เจืออคติส่วนตัวพร้อมกับตีประเด็นชี้นำสังคม)
ในทำนองที่ว่า...
“คำสอนเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา
เพราะไม่มีบันทึกในพระไตรปิฎก
เป็นการบัญญัติคำสอนขึ้นมาใหม่
หรือเป็นสัทธรรมปฏิรูป”
เป็นต้น.
เมื่อคนในสังคมโดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าวัดพระธรรมกาย ได้ฟังการตีประเด็นเรื่องคำสอนที่ถูกตัดตอนจากคนกลุ่มนี้แบบตอกย้ำ
ซ้ำๆ หลายๆ คนจึงคล้อยตามและเชื่อว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดจริงๆ
แต่สำหรับคนที่เข้าวัดเป็นประจำ!!! จะคุ้นเคยและเข้าใจในคำสอนของทางวัดเป็นอย่างดีว่า... “ทุกคำสอนที่ทางวัดนำมาเผยแพร่
ล้วนตรงตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางเอาไว้” เพียงแต่บางเรื่อง (โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย) บางครั้งก็จะลงรายละเอียดให้ทราบถึงที่มาที่ไปแบบครบถ้วนกระบวนความ
(ตรงนี้คนที่เข้าวัดมาอย่างต่อเนื่องจะเข้าใจดี) แต่บางครั้งเมื่อนำมากล่าวซ้ำ กอปรกับด้วยเวลาหรือโอกาสไม่อำนวยให้ลงรายละเอียด ก็จะละบางช่วงบางตอนเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ซึ่งตรงจุดนี้แหละ!!!
ที่เป็นจุดให้คนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายนำข้อมูลไปใช้ตัดตอนคำ & ตัดตอนคลิป เพื่อนำมาโจมตีว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดเพี้ยน
และจากที่ได้อรรถาธิบายมาทั้งหมด ข้อกล่าวหา (จากกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกาย)
ที่ว่า... “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ”
จึงเป็นเพียงการยัดเยียด “ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงและเลื่อนลอย” เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่มีคนกล่าวหา
วัดพระธรรมกายคงไม่สามารถเจริญเติบโตและยืนหยัดอยู่มาได้อย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันนี้ก็เกือบครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว
และที่สำคัญ...กลุ่มคนที่สร้างประเด็นนี้ขึ้นมา มีเจตนาก็เพียงเพื่อชี้นำและปลุกปั่นให้คนในสังคม
(โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง) รู้สึกตื่นตระหนก เกิดความหวาดระแวงเคลือบแคลงสงสัย และสร้างกระแสให้คนในสังคมรู้สึกเกลียดชังวัดพระธรรมกายเท่านั้น ดังนั้น...ข้อกล่าวหาที่ว่า “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จึงไม่ใช่เรื่องจริง!!! และไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายก็อยากจะขอบคุณทุกท่านที่ได้อ่านมาจนถึงย่อหน้าสุดท้ายนี้ และขอฝากถึงทุกท่านว่า...การจะรับข้อมูลอะไรก็ตามในโลกโซเชียล โปรดใช้สติหยุดคิด!!!
และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลต่างๆ ให้ดี
โปรดอย่าฟังความข้างเดียวหรือเชื่อตามกระแสที่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างขึ้นมา ไม่เช่นนั้น!!! ท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น