วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
On 10:15 by EForL in ความโกรธ No comments
ในสมัยพุทธกาล
นางพราหมณีชื่อธนัญชานี
เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก
วันหนึ่ง
ขณะที่นางนำอาหารมาให้พราหมณ์ผู้เป็นสามีรับประท่าน
ได้ก้าวเท้าพลาดจึงอุทานออกมาว่า "นโม ตัสสะ ภควโต"
พราหมณ์ผู้เป็นสามีเมื่อได้ยินดังนั้น
ก็ด่านางพรามณีนั้นว่า "หญิงถ่อย หญิงอัปมงคง"
เลิกพูดยกย่องนักบวชคนนั้นได้แล้ว
นางพราหมณีตอบด้วยน้ำเสียอันอ่อนโยนไม่แสดงถึงอาการโกรธกลับไปว่า
พราหมณ์ ฉันยังไม่เคยเห็นใครที่ควรกล่าวยกย่องเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลยในโลกนี้
พราหมณ์ผู้เป็นสามีเมื่อได้ยินดังนั้น
ถึงกับเลือดขึ้นหน้าโกรธจัด
คิดจะฆ่านางพราหมณีผู้เป็นภรรยาสุดที่รักให้ตายเสียให้ได้ในวันนี้เลย
แต่ด้วยความรักจึงมิอาจทำอย่างที่คิดได้
จึงเขาไปคว้ามีดที่ลับไว้อย่างดี
ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังวัดเวฬุวันอันเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อมาถึงวัดก็ตรงดิ่งเข้าไปที่กุฏิของพระพุทธองค์เลยทีเดียว
พระพุทธองค์ทรงรู้เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นอย่างดี
จึงนั่งหลับตาสงบสำรวมอยู่ราวกับภูมิเขาศิลาที่ตั้งตระหง่าไม่สะท้านหวั่นไหวด้วยแรงลมจากทิศไหนๆ
พอนายพราหมณ์ได้เห็นพระวรกายของพระพุทธองค์
แค่แว็ปแรกเท่านั้นแหละความโกรธที่กำลังพลุกพลานอยู่ในร่างกายก็เริ่มสงบลงทันที
รีบเข้าไปกราบก้นโด่งเลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวทักทายพอให้ได้ระลึกนึกถึงกันเสร็จ
ก็เปิดโอกาสให้นายพราหมณ์ได้ถามปัญหาที่ค้างขาใจจนเป็นเหตุให้ถ่อสังขารมาถึงนี่
นายพราหมณ์เมื่อได้โอกาสจึงถามว่า
บุคคลฆ่าอะไรได้ ย่อมนอนเป็นสุข
ฆ่าอะไรได้ ย่อมไม่เศร้าโศก
ข้าแต่พระโคดม
พระองค์ย่อมชอบใจการฆ่าธรรม
อะไรเป็นธรรมอันเอก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมนอน
เป็นสุข
ฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่เศร้าโศก
ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย
ย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธ อันมีราก
เป็นพิษ มียอดหวาน เพราะว่าบุคคลฆ่า
ความโกรธนั้นได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
พราหมณ์เกิดความเลื่อมใสแล้วกล่าวคำยกย่องพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีปในที่มืด ฉะนั้น
ข้าพระองค์นี้
ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
ธนัญชานีสูตร
25/195 (มมก.)
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ
ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน
3 เดือน เพื่อรวบรวมเรียบเรียงคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่
และแบ่งกันทรงจำสืบทอดมาถึงปัจจุบัน คือพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกบาลี
เป็นแม่บทคำสอนที่ชาวพุทธเถรวาทให้ความเคารพศึกษา
เป็นกรอบคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท
มีข้อสังเกตเรื่องคำสอนที่ชาวพุทธเถรวาทเราควรตระหนักรู้ก็คือ
1.
แม้พระอรหันต์
500 รูปก็ยังมีความเห็นในประเด็นพระธรรมวินัยบางข้อไม่ตรงกัน
ในพระวินัยปิฎก จูฬวรรค
ปัญจสติกขันธกะ ขุททานุขุททกสิกขาปทกถา
ว่าด้วยสิกขาบทเล็กน้อย (
พระไตรปิฎกแปลฉบับ มจร. เล่ม 7 ข้อ 441 หน้า 382 ) ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อคราวสังคายนาครั้งที่ 1
พระอานนท์ได้กล่าวกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า
“ ในเวลาจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่า อานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ก็พึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ ”
พระอรหันต์ทั้งหลายถามว่า “ท่านอานนท์ ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือว่า ‘ พระพุทธเจ้าข้า
สิกขาบทข้อไหนที่จัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ท่านพระอานนท์ตอบ “ ท่านผู้เจริญ
กระผมไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ‘ พระพุทธเจ้าข้า
สิกขาบทข้อไหน ที่จัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า “ ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท
ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า “ ยกเว้นปาราชิก 4 สิกขาบท สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท
ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า “ ยกเว้นปาราชิก
4 สิกขาบท สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท อนิยต 2 ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า “ ยกเว้นปาราชิก
4 สิกขาบท สังฆาทิเสส
13 สิกขาบท อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30
สิกขาบท ปาจิตตีย์ 92 สิกขาบท
ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
ภิกษุผู้เถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า “ ยกเว้นปาราชิก
4 สิกขาบท สังฆาทิเสส
13 สิกขาบท อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30
สิกขาบท ปาจิตตีย์ 92 สิกขาบท ปาฏิเทสนียะ 4 สิกขาบท
ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
เมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน
สุดท้ายพระมหากัสสปะจึงเสนอ ญัตติว่า จะไม่เพิกถอนสิกขาบทข้อใดๆ
และได้รับการรับรองจากพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นเอกฉันท์
ลองคิดดูว่าหากพระอรหันต์แต่ละกลุ่มยืนกรานความเห็นของตน
ไม่ยอมรับความเห็นต่างของพระอรหันต์กลุ่มอื่น คณะสงฆ์ก็มีโอกาสแตกออกเป็น 5
กลุ่มตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
ระดับพระอรหันต์และไม่ใช่พระอรหันต์ธรรมดา
แต่เป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการคัดเลือกมาทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นพระไตรปิฎกให้เราศึกษาในปัจจุบัน
มีพระอสีติมหาสาวกหลายรูป อาทิ พระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์ เป็นต้น
ก็ยังมีความเห็นบางประเด็นไม่ตรงกัน แล้วชาวพุทธปัจจุบันที่ยืนกรานความเห็นของตนหรือเชื่อตามความเห็นของพระภิกษุนักวิชาการบางรูปว่าถูกต้อง
ปฏิเสธและโจมตีผู้ที่เห็นต่างจากตนอย่างรุนแรง
ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญาหรือยัง เก่งกว่าพระอสีติมหาสาวกหรือเปล่า
การโจมตีผู้เห็นต่างจากตนมีแต่จะนำมาซึ่งความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ ผิดแนวทางปฏิปทาของพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต
2.
การศึกษาและเผยแผ่ธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอนหลายระดับ
พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกเป็นแม่บทคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท
- มีคัมภีร์อรรถกถาเรียบเรียงโดยพระอรรถกถาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลราว
900 ปีเศษ เป็นคู่มืออธิบายทำความเข้าใจพระไตรปิฎก
- มีคัมภีร์ฎีกาเป็นคู่มืออธิบายเนื้อหาในคัมภีร์อรรถกถาหรืออธิบายพระไตรปิฎกบางครั้งอธิบายในแง่มุมที่แย้งกับที่คัมภีร์อรรถกถาอธิบายไว้
- มีคัมภีร์อนุฎีกา เป็นคู่มืออธิบายเนื้อหาในคัมภีร์ฎีกาหรืออธิบายคัมภีร์อรรถกถาหรืออธิบายพระไตรปิฎก
- มีคำสอนของพระเถระทั้งในรูปคำเทศน์สอน หรือเขียนเป็นหนังสือธรรมะ
อธิบายขยายความคำสอนในพระพุทธศาสนาให้เราเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น คำสอนของท่านพุทธทาส
หลวงปู่ หลวงตา พระเถระต่างๆ หรือแม้ฆราวาสบางท่านที่มีความรู้ดี
มีบางคนคิดว่าคำสอนที่ถูกต้องจะต้องเป็นคำสอนที่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้น
ผู้ที่มีความเห็นเช่นนี้ จะนำไปสู่แนวโน้มที่จะปฏิเสธคำสอนระดับอื่นๆทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ปฏิเสธคำเทศนาธรรมของพระเถระ ปฏิเสธอนุฎีกา ปฏิเสธฎีกา ปฏิเสธอรรถกถา และเลยเถิดไปจนถึงปฏิเสธเนื้อหาพระไตรปิฎกส่วนที่เป็นคำกล่าวของพระอรหันต์เช่น
พระสารีบุตร พระอานนท์ เป็นต้น ยอมรับเฉพาะพุทธวจนะเท่านั้น
และยังมีแนวโน้มจะปฏิเสธแม้พุทธวจนะในส่วนที่ไม่ตรงกับความเชื่อของตน
เช่นส่วนที่มีการกล่าวถึง นรก สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ เทวดา นางฟ้า ยักษ์ เป็นต้น
หากทำตามความเชื่อของคนกลุ่มนี้
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะทำได้โดยนำพระไตรปิฎกมาอ่านให้ฟัง ห้ามอธิบายเพิ่มเติมตามความเห็นของตน
ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นจริงพระพุทธศาสนาคงสาบสูญไปจากโลกนี้นานแล้ว
เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ฟังไม่รู้เรื่อง
ความจริงการจะวินิจฉัยว่าคำสอนใดถูกต้องเป็นประโยชน์หรือไม่ต้องดูที่ความสอดคล้องกับหลักคำสอนในพระไตรปิฎก
ไม่ใช่ดูที่ว่าต้องมีอยู่ในพระไตรปิฎก
คำสอนของพระเถระทั้งหลายแม้ไม่ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
แต่หากสอดคล้องกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก คำสอนนั้นก็เป็นคำสอนที่ดี มีประโยชน์
ควรศึกษา
ดังนั้นคำสอนของพระเถระทั้งหลายที่เทศนาสั่งสอนประชาชนมาแต่โบราณกาล เขียนหนังสือธรรมะอธิบายหลักธรรมให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
คือสิ่งดีมีประโยชน์
เปรียบเหมือนกฎหมาย รัฐธรรมนูญ คือ
กฎหมายแม่บท แต่การวินิจฉัยว่ากฎหมายต่างๆถูกต้องหรือไม่
ไม่ใช่ใช้วิธีดูว่าเนื้อหาในกฎหมายเหล่านั้นมีในรัฐธรรมนูญหรือไม่
แต่ให้ดูเพียงว่าเนื้อหาของกฎหมายนั้นไม่ขัดรัฐธรรมนูญก็ถือเป็นกฎหมายที่ใช้ได้
3. คำสอนในพระไตรปิฎกส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
ในส่วนเนื้อหาหลักธรรมเช่นอริยมรรคมีองค์ 8 มักกล่าวไว้เพียงสั้นๆ
เช่นสัมมาสมาธิเกือบทั้งหมดก็กล่าวไว้เพียงว่า หมายถึง รูปฌาน 4
แต่ไม่มีการอธิบายว่าจะฝึกให้ได้รูปฌาน 4 ต้องปฏิบัติอย่างไร
สายปฏิบัติใหญ่ๆในประเทศไทย
ล้วนอิงหลักการจากพระไตรปิฎกแล้วมาอธิบายขยายความเพิ่มเติมถึงวิธีการปฏิบัติเองทั้งสิ้น
อาทิ
สายสัมมาอะระหัง อิงหลักสติปัฏฐาน 4 จากพระไตรปิฎก คือ การตามเห็นกายในกาย
ตามเห็นเวทนาในเวทนา ตามเห็นจิตในจิต ตามเห็นธรรมในธรรม แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีการกล่าวถึงกายภายในที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ
จนถึงธรรมกาย
สายพองหนอยุบหนอ อิงหลักสติปัฏฐาน 4 เช่นเดียวกัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงการก้าวหนอ
ยกหนอ เหยียบหนอใดๆเลย
สายพุทโธ อิงหลักอานาปานสติ จากพระไตรปิฎก แต่วิธีการปฏิบัติที่สอนกันอยู่ก็ไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
หากจะเอาเฉพาะคำสอนที่มีในพระไตรปิฎกเท่านั้น
ก็ต้องเลิกการปฏิบัติธรรมทุกสายในประเทศไทยทั้งหมด
ซึ่งมีแต่นำความเสื่อมมาสู่พระพุทธศาสนาและสังคมไทย
โดยสรุป หลักการวินิจฉัยคำสอนที่ดี คือ ดูความสอดคล้องกับหลักการในพระไตรปิฎก
ไม่ใช่การดูว่าคำสอนนั้นมีในพระไตรปิฎกหรือไม่
และอย่าเอาความเห็นความเชื่อของตนไปโจมตีผู้ที่เห็นต่าง เพราะแม้แต่พระอรหันต์ 500 รูป
ที่เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียงคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพระไตรปิฎกให้เราศึกษา ก็ยังมีความเห็นในบางประเด็นที่ต่างกัน
ถ้าเป็นคำสอนไปในทางอกุศล เช่น สอนให้ดื่มเหล้า จมในอบายมุข
อย่างนี้ผิดกับหลักการในพระไตรปิฎกชัดเจน
เป็นคำสอนที่ผิด แต่ถ้าเป็นประเด็นคำสอนที่เป็นไปในทางกุศล
เช่น คำสอนด้านธรรมปฏิบัติ
ที่อาจตีความได้หลายแง่มุม
ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน
อย่างนี้ไม่ควรจะยึดมั่นในความคิดของตนแล้วโจมตีผู้ที่เห็นต่าง ตั้งใจปฏิบัติแบบที่ตนเชื่อและชอบไปดีกว่า
โดยรวม คำสอนที่สอนให้ละชั่ว ทำความดี
ทำใจให้ผ่องใส สอนให้ประชาชนรักการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา คือคำสอนที่ดี สอดคล้องกับหลักการในพระไตรปิฎก
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ช่วงนี้เราได้ยินได้ฟังข่าวจากสื่อต่าง ๆ
เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายแทบจะทุกวัน
ประเด็นที่คนในสังคมสนใจเป็นอย่างมากนั้นก็คือ
การไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาของท่านเจ้าอาวาส
สำหรับคนทั่วไปก็อาจจะสงสัยว่าทำไมท่านเจ้าอาวาสจึงไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาที่
ดีเอสไอเรียก
แต่สำหรับคนที่ศึกษาและติดตามคดีสหกรณ์มาเป็นอย่างดี
ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร
การที่เราไม่ศึกษาข้อเท็จจริงให้ละเอียดเสียก่อน แล้วไปวิจารณ์พระสงฆ์องค์เจ้าเลย
ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งก่อนที่นำเสนอข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับวัดนี้
ก็ขอยกเรื่องราวในพระไตรปิฎกมาให้ประเทืองปัญญากันซะเล็กน้อยก่อน
มีเรื่องจริงเคยเกิดขึ้นแล้ว ในสมัยหนึ่ง ณ เมืองราชคฤห์
อหิวาตกโรคได้ระบาดอย่างหนัก ทำให้ชาวเมืองต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก
แม้แต่ท่านเศรษฐีประจำเมืองและภรรยาที่ว่าดูแลสุขอนามัยเป็นอย่างดี ก็ยังได้รับเชื้ออหิวาตกโรคนี้ด้วย
เมื่อรู้ตนและภรรยาไม่รอดแน่แท้แล้ว จึงสั่งดีกับลูกชายวัย 7 ขวบ ว่า “ทรัพย์สมบัติของตระกูลเรามีอยู่ 40 โกฏิ (สี่สิบล้าน) ฝังไว้ในที่โน้น
ถ้าเจ้ารีบหนีออกไปตอนนี้ อาจจะมีชีวิตรอดกลับมาใช้ทรัพย์ แต่ถ้าไม่หนีไปในวันนี้ทรัพย์ทั้งหมดที่มีก็จะสูญเปล่าไปอย่างแน่นอน”
ลูกชายได้ฟังดังนี้แล้ว
ก็ร้องไห้ด้วยความอาลัยในพ่อแม่ และร้องเพราะกลัวต่อมรณะภัยที่กำลังจะมาถึงตัว แต่ก็ทราบถึงความประสงค์ของพ่อแม่จึงไหว้เพื่อขอขมาท่านทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วรีบเก็บสิ่งของที่จำเป็นหนีเข้าไปอยู่ในป่า
12 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
จากเด็กชายกลายเป็นหนุ่ม เขาเดินทางกลับมายังที่อยู่ของพ่อแม่อีกครั้ง ด้วยมาดของคนป่าหนวดเคราพะรุงพะรัง
จนไม่มีใครในเมืองจำเขาได้ว่านี้คือลูกชายของเศรษฐี
เมื่อมาถึงบริเวณบ้านเขารีบไปดูที่ฝังทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ฝังไว้ยังอยู่
จึงคิดว่า “ในเมื่อใคร ๆ จำเราไม่ได้ ถ้าเราขุดทรัพย์ขึ้นมาใช้สอย
โดยที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปแห่งทรัพย์นี้ คนทั้งหลายจะเข้าใจว่าเราไปทำทุจริตมาแน่
ถ้าอย่างนั้น เราควรหางานสักอย่างหนึ่งทำก่อน แล้วค่อยทยอยนำทรัพย์นี้มาใช้ในยามจำเป็น”
(ขนาดได้ทรัพย์มาด้วยบุญของตนเองยังใช้สอยลำบาก
เพราะเข้าใจว่าต้องมีพวกที่ริษยาอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาตามเบียดเบียนแน่)
ระหว่างที่ชายหนุ่มลูกเศรษฐีรับจ้างทำงานทั่วไปอยู่นั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จตรวจแผ่นดินผ่านมาที่ทำงานของชายหนุ่มพอดี
พระองค์เผอิญได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนนี้เข้าจึงรำพึงขึ้นมาว่า “นี้เป็นเสียงของผู้มีทรัพย์มาก”
นางสนมที่ติดตามพระองค์ ได้ยินคำรำพึงนั้น คิดว่า “พระราชาของเราคงไม่ตรัสอะไรเหลวไหลแน่”
วันต่อมา นางสนมที่ได้ยินคำรำพึงนั้น คุยเรื่องที่ตนได้ยินให้ลูกสาวฟัง
พร้อมกับชักชวนกันปลอมตัวเป็นคนพเนจร
เพื่อจะได้เข้าไปพิสูจน์ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีทรัพย์จริงหรือเปล่า
นางและลูกสาวเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยอาการของคนพเนจร
แล้วบอกว่ากับชายหนุ่มนั้นว่า เขาต้องการที่พักสัก 2-3 วัน
ชายหนุ่มเกิดความสงสารจึงให้พัก ระหว่างที่พวกนางพักอยู่ในบ้านนั้น
นางสนมผู้เป็นแม่หาอุบายเพื่อให้ชายหนุ่มได้เสียกับลูกสาวของตน
เพียงไม่นานก็เป็นไปตามแผน
เมื่อทองเป็นแผ่นเดียวกันทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
นางออกอุบายต่อเพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์มากจริงๆ พอได้ข้อมูลเพียงพอจนเกิดความมั่นใจแล้ว
ก็ส่งข่าวไปยังพระเจ้าพิมพิสาร ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้รับข่าวก็ส่งทหารไปบอกว่า
ให้ชายหนุ่มมาเข้าเฝ้าพระราชาโดยด่วน
ชายหนุ่มเกิดความแปลกใจว่าตนเองไม่เคยทำผิด
และไม่เคยรู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินมาก่อน ทำไมวันนี้จึงมีหมายเรียกให้ไปเข้าเฝ้า เขาเลยตอบทหารที่มาทำหน้าที่ส่งสารไปว่า
“ตอนนี้มีกิจบางอย่างอยู่ไม่สะดวกที่จะไปในเวลานี้” แม้ครั้งที่สอง
แม้ครั้งที่สามก็บอกไปอย่างนั้น จนในที่สุดทหารต้องใช้กำลัง
ชุดกระช่างลากดึงเพื่อให้ชายหนุ่มคนนี้เข้าไปเฝ้าให้ได้
เมื่อไปถึงราชวัง
พระเจ้าพิมพิสารถามว่า : เจ้าชื่ออะไร เพราะเหตุใดจึงปกปิดทรัพย์ไว้เป็นอันมาก
ชายหนุ่ม : ข้าพระองค์ชื่อกุมภโฆสก ข้าพระองค์มีทรัพย์ไว้ใช้เท่าที่จะเป็น
พระเจ้าพิมพิสาร : อย่าพูดอย่างนั้น
เจ้าจะลวงข้าทำไม ว่าแล้วก็แสดงกหาปณะ (เงินในสมัยนั้น) ที่ได้จากการใช้สอยของชายหนุ่มนั้น
เมื่อได้เห็นกหาปณะนั้นก็จำได้ว่าเป็นของตน จึงอุทานว่า “ฉิบหายแล้ว
ทำไมกหาปณะเหล่านี้จึงได้มาอยู่กับพระราชา” แล้วก็เหลือบมองไปโดยรอบได้เห็นหญิงสองแม่ลูกนั่งอยู่ใกล้
ๆ กับพระราชา ก็พอเดาความเป็นไปเป็นมาออกว่าทรัพย์นั้นมาอยู่นะที่ตรงนี้ได้อย่างไร
ขณะนั้นเองพระราชาจึงตรัสว่า
“พูดมาเถอะ ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้”
ชายหนุ่ม : ที่ข้าพระองค์ไม่เปิดเผยทรัพย์ตั้งแต่แรก
เพราะที่พึ่งของข้าพระองค์ไม่มี (เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร)
พระเจ้าพิมพิสาร :
แล้วคนเช่นเราไม่ควรเป็นที่พึ่งให้แก่เจ้าหรืออย่างไร
ชายหนุ่ม :
ข้าพระองค์เคยได้ยินมาว่า แม้พี่น้องก็ฆ่ากันเองเพราะเรื่องเงินทอง
นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ใช่ญาติกัน
พระเจ้าพิมพิสาร :
จริงอยู่เรื่องนั้นเคยมี แต่ไม่ใช่เราผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธแน่
เมื่อชายหนุ่มมั่นใจว่าพระเจ้าพิมพิสาร
สามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้ จึงบอกข้อมูลทุกอย่าง เมื่อพระราชาตรวจสอบข้อมูล
พร้อมกับส่งคนไปตรวจทรัพย์ของชายหนุ่มนั้นแล้วว่าเป็นความจริงจึงแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีประจำเมืองสืบต่อไป
การที่ DSI ตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร โดยไม่มีมูลฐานความผิดตามข้อกฎหมาย
กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
การคัดค้านเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งจากฝ่ายอัยการและฝ่ายเจ้าทุกข์
1)
ฝ่ายอัยการได้ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนแล้ว
ไม่พบหลักฐานกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
จึงปฏิเสธ DSI เพื่อให้ระงับการสั่งฟ้องข้อหานี้มาถึง 2 ครั้ง
2) ผู้เสียหายโดยตรงคือสหกรณ์ ก็ได้ส่งตัวแทนคือ
ปธ.สหกรณ์ และ ปธ.แผนฟื้นฟู ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกสหกรณ์ทั้ง 53,000 คน
ออกมายืนยันกับสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า
ไม่พบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย นำเงินออกมาจากสหกรณ์ ซึ่งตามหลักแล้ว
เมื่อมีเสียงคัดค้านจากทั้งอัยการ และเจ้าทุกข์แบบนี้
คดีนี้จะต้องไม่มีเกิดขึ้นในโลก
แต่เมื่อดีเอสไอออกหมายเลขคดีพิเศษ เพื่อตั้งข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
กับเจ้าอาวาสพระธรรมกาย โดยไม่มีมูลฐานความผิดเช่นนี้
จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การออกหมายเรียกให้ท่านไปพบทั้งที่อาพาธหนัก การร้องศาลเพื่อขอออกหมายจับทั้งที่คดีไม่มีมูล
การออกสื่อชี้นำสังคมว่าท่านมีความผิดทั้งที่คดีไม่มีมูล
การปฏิเสธความเห็นของคณะแพทย์โดยขาดการตรวจสอบ การกระทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า
ท่านแกล้งป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงคดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานการกระทำ
ที่เข่าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทั้งสิ้น
ด้วยเหตุเหล่านี้ คณะศิษย์วัดพระธรรมกาย
จึงมีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย
ที่จะปกป้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
มีสิทธิที่จะออกมาเรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรม
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผ่านกระบวนการตามกฎหมายของสำนักงาน ปปช.
โดยมีหลักฐานคือการคัดค้านทั้งจากฝ่ายอัยการ ฝ่ายเจ้าทุกข์
และพฤติกรรมที่ดีเอสไอปฏิบัติต่อพระภิกษุอาพาธผ่านสื่อมวลชน
ณ จุดจุดนี้ผู้เขียนก็ขอตอบแทนศิษย์วัดพระธรรมกายทุกคนว่า
“ถ้าหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำงานแบบตรงไปตรงมาเรื่องต่าง ๆ ก็คงไม่มาถึงจุดนี้แน่” อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ท่านผู้อ่านไปตามศึกษาข้อมูลเหล่านี้
เพื่อความกระจ่างแก่ใจของท่านเองด้วย อย่างพึงเชื่อตามที่ข้าพเจ้ากล่าว
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
คำถาม : คำกล่าวหาที่ว่า...
วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ!!! สรุปแล้วเป็นภัยจริงหรือไม่???
คำตอบ :
ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถือว่าเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก!!! แต่เลื่อนลอย และไม่มีเค้าความเป็นจริงเลยสักนิด เพราะกิจกรรมทุกกิจกรรม
รวมถึงนโยบายทุกนโยบายของวัดพระธรรมกายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีกิจกรรมไหนหรือนโยบายใดที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้เลยสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านการเมือง เศรษฐกิจ
หรือสังคม-จิตวิทยา ส่วนว่าความเป็นจริงเป็นเช่นไรเราลองมาดูกันทีละประเด็น
ประเด็นแรก : ความมั่นคงทางด้านการเมือง
สำหรับประเด็นนี้ “ถ้าคนที่มองโลกในแง่ร้าย”
ก็อาจจะมองว่า...การที่วัดพระธรรมกายสามารถรวมคนได้เป็นหลักหมื่น หลักแสนอย่างเป็นระบบระเบียบ ในอนาคตอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านการเมืองได้
(ถ้าหากวัดพระธรรมกายเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล) แต่ในความเป็นจริง!!!
เนื่องจากวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรพุทธศาสนาซึ่งบุคลากรโดยส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุสงฆ์
เพราะฉะนั้น...ด้วยตัวบทกฏหมายของประเทศไทยและกฏมหาเถรสมาคมจึงไม่ได้ให้สิทธิหรือเปิดช่องให้พระภิกษุมีบทบาททางด้านการเมือง
อีกทั้งตามหลักพระธรรมวินัย...การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ใช่กิจของสงฆ์ วัดพระธรรมกายจึงได้ยึดถือและออกกฏข้อห้ามที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองจำนวน
2 ข้อ (จากทั้งหมด 10 ข้อ) มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2518 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฏหมาย ,
กฏมหาเถรสมาคม และพระธรรมวินัยว่า... “ห้ามโฆษณาชวนเชื่อหรือหาเสียงใดๆ ทั้งสิ้น” (ในกฏข้อที่ 6) และ
“ห้ามทำนายทายทักโชคชะตาหรือคุยกันเรื่องการเมืองที่ทำให้ร้อนใจ”
(ในกฏข้อที่ 8)
และด้วยความที่บุคลากรภายในวัด (ทั้งพระภิกษุ - สามเณร
รวมถึงอุบาสกและอุบาสิกา) ต่างมีมโนปณิธานในการสั่งสมบุญสร้างบารมีตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ รูปและทุกๆ คนจึงยึดถือกฏระเบียบทั้ง 2
ข้อนี้ (รวมถึงข้ออื่นๆ ที่เหลือ) กันอย่างเคร่งครัด
ถึงแม้ทางวัดจะออกกฏห้ามไม่ให้บุคลากรภายในวัดไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองก็ตาม แต่เมื่อถึงคราวที่ภาครัฐต้องการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทางวัดก็ไม่ได้ปิดกั้น ทั้งยังเปิดโอกาสให้อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นบุคคลากรภายในวัด ได้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามหน้าที่พลเมืองดีของชาติ
ในส่วนของสาธุชนที่มาแสวงบุญที่วัด แม้แต่ละคนจะมีแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย (เรียกได้ว่า...มีครบทุกสี
ทุกพรรค ทุกประเภท ทั้งที่สนใจการเมืองและไม่สนใจการเมือง) แต่ด้วยกฏระเบียบที่ทางวัดวางนโยบายเอาไว้ สาธุชนทุกคนจึงเข้าใจและมุ่งมาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม สั่งสมบุญสร้างบารมี โดยละทิ้งความเห็นต่างทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ชั่วคราว
ส่วนว่าเมื่อแต่ละคนกลับออกไปดำเนินชีวิตทางโลกตามปกติ ใครจะคิด!!! ใครจะพูด!!! หรือใครจะทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ในส่วนนี้วัดพระธรรมกายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะทางวัดไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงหรือละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคลของใครได้ เนื่องจากแนวคิดทางการเมืองเป็นเรื่อง “ปัจเจกบุคคล” ที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพตามกฏหมาย
และจากที่กล่าวมาทั้งหมด...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย
จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านการเมือง
ประเด็นที่สอง : ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!!! วัดพระธรรมกายไม่เคยกระทำการใดๆ
ที่มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดภาวะล้มเหลว
หรือทำให้ผลผลิตโดยรวมของประเทศตกต่ำ หรือทำให้รายได้ของประเทศขาดเสถียรภาพเลยสักครั้งเดียว
ในทางตรงกันข้าม!!! กิจกรรมหลายๆ กิจกรรมที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น
เช่น...กิจกรรมจัดบวช
หรือกิจกรรมตักบาตร เป็นต้น กลับเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นที่มีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการโรงแรม
, ร้านค้า , ร้านอาหาร
รวมถึงเหล่าพ่อค้าแม่ขายข้างทาง
ต่างก็ได้ประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าวกันถ้วนหน้า
เมื่อคนเหล่านี้มีรายได้ก็จะนำเงินไปจับจ่ายใช้สอยและนำไปมาเสียภาษีให้กับรัฐ รัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้พัฒนาและบริหารประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น...นำไปเป็นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับชั้นตั้งแต่นายกไล่เรื่อยมา เป็นต้น เรียกได้ว่า...เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ล้วนมีส่วนกลับไปหล่อเลี้ยงคนทุกระดับตั้งแต่ระดับนายกฯ
จนกระทั่งรากหญ้า
หรืออย่างการก่อสร้างศาสนสถานของวัดพระธรรมกาย ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน กล่าวคือ...เมื่อทางวัดจะก่อสร้างศาสนสถานเพื่อใช้ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาสักโครงการหนึ่ง ทางวัดก็ต้องไปจัดจ้างบริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
บริษัทออกแบบและบริษัทรับเหมาก็ต้องไปจ้างคนงาน พอทุกคนมีงานก็เลยมีเงินสำหรับใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและมีเงินสำหรับไปจ่ายภาษีให้กับรัฐ สุดท้ายรัฐก็นำเงินภาษีเหล่านี้ไปใช้บริหารประเทศและทำประโยชน์ให้กับประชาชน
ซึ่งวงจรเศรษฐกิจดังกล่าว!!! ล้วนส่งผลทำให้ประเทศชาติมีเงินหมุนเวียนและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศไม่หยุดชะงัก
นักลงทุนต่างชาติก็จะเกิดความมั่นใจและกล้าที่จะนำเงินมาลงทุนกันมากขึ้น
และจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่
นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านเศรษฐกิจ
ประเด็นที่สาม : ความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา
สำหรับประเด็นนี้!!! วัดพระธรรมกายขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า...ทุกนโยนบายและทุกกิจกรรมของทางวัด ไม่มีเรื่องใดเลยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านสังคม-จิตวิทยา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาที่ดำเนินงานทุกอย่างอยู่ภายใต้
“หลักของกฎหมาย , กฎมหาเถรสมาคม รวมถึงจารีตประเพณีอันดีงามที่ปู่ย่าตายาย และเหล่าบรรพชนได้ประพฤติสืบทอดต่อๆ กันมา” อย่างเคร่งครัด
ดังนั้น...ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของทางวัด จึงไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบหรือทำให้เกิดการทำลายองค์คุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้...ทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกายยังมุ่งเน้นอบรมและฟื้นฟูศีลธรรมให้แก่คนในสังคมในทุกระดับชั้น อีกทั้งยังมีการจัดสอนสมาธิให้แก่ประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตทั้งทางกายและทางใจที่ดีขึ้น ไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ลดทอนคุณธรรม หรือทำให้คุณภาพชีวิต (ทั้งทางกายและทางใจ) ของคนในสังคมลดลง
และที่สำคัญทุกนโยบายและทุกกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านลบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา , ระเบียบวินัย , ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม
, สุขภาพ หรือด้านคุณธรรม เพราะทางวัดมุ่งเน้นจัดกิจกรรมที่เพิ่มพูนคุณธรรมในทุกๆ
เรื่อง ให้กับคนในสังคม
ดังนั้น...จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นโยบายหรือกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทางด้านสังคม-จิตวิทยา
ถ้าถามว่ามีประเด็นอะไรบ้าง!!! ที่วัดพระธรรมกายถูกเชื่อมโยงว่า
“เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จริงๆ ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องดังนี้
1.มีคนมาวัดพระธรรมกายเป็นจำนวนมาก
สำหรับประเด็นนี้!!! ถือเป็นการตั้งข้อสังเกตที่เกินกว่าเหตุและดูจะไร้ซึ่งเหตุผลไปสักหน่อย เพราะในความเป็นจริง!!!
การจัดกิจกรรมรวมคนของวัดพระธรรมกายไม่ว่าจะหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน (และกำลังจะไปสู่หลักล้านในอนาคต) ทุกกิจกรรมล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการอบรมศีลธรรมและสอนสมาธิให้แก่สาธุชนที่มาแสวงบุญทั้งสิ้น
อีกทั้ง...คนที่มาร่วมกิจกรรมกับทางวัด ก็มาเพื่อมาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาละชั่ว
ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีทุกระดับชั้น ตั้งแต่เด็กอนุบาลไล่เรื่อยไปจนถึงระดับ “Professor” และที่สำคัญ...กิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเมือง , เศรษฐกิจ รวมถึงสังคม-จิตวิทยาเลยสักนิด
ถ้ามองแบบ “ผู้มีสติปัญญาและมีจิตใจที่เที่ยงธรรม” ก็คงจะเห็นประโยชน์และเห็นแต่สิ่งดีๆ ที่เกิดจากกิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้นว่า...
“มีส่วนช่วยทำให้ประเทศของเรามีบุคลากรที่ดี (ทั้งความรู้ดี ความสามารถดี ความประพฤติดี) และมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป”
ซึ่งในจุดนี้!!! ถือว่ามีส่วนช่วยภาครัฐประหยัดงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำเงินไปใช้ในการแก้ปัญหาและปราบปรามคนที่ประพฤติผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย และที่สำคัญ...เงินที่ใช้จัดกิจกรรมดังกล่าว ทางวัดไม่เคยเบิกงบประมาณของประเทศชาติมาใช้เลยแม้แต่บาทเดียว
พูดได้เต็มปากว่า...ทั้งจัดงานเองและออกเงินเองล้วนๆ
เพราะฉะนั้น...กิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ
ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จึงถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าการที่วัดพระธรรมกายจัดกิจกรรมรวมคนมาทำความดีครั้งละมากๆ
(อย่าง...กิจกรรมตักบาตรพระเพื่อช่วยเหลือพระที่อยู่ในเขตพื้นที่
4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น.) ถูกคนบางกลุ่ม (รวมถึงคนของหน่วยงานราชการ)
มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
แล้วสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมให้คนมาทำบาปอกุศล (อย่างในผับ
, ในบาร์ หรือในบ่อนการพนัน) มันไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติมากกว่ารึ!!! เพราะสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นต้นตอและเป็นบ่อเกิดของปัญหาครอบครัวและปัญหาสังคมลำดับต้นๆ ดังนั้น...ถ้าใครคิดจะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ
จุดที่ควรเป็นกังวลมากที่สุดคือแหล่งรวมให้คนมาทำบาปอกุศลและเขตพื้นที่
4 จังหวัดชายแดนภาคใต้โน่น!!! ไม่ใช่วัดพระธรรมกาย
อันที่จริง!!! เราควรดูวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมรวมคนของทางวัดว่า...ที่คนมารวมตัวกันเยอะๆ
เขามารวมกันทำอะไร???
จากนั้นก็ใช้สติปัญญาพิจารณาหาคำตอบด้วยใจที่เที่ยงธรรมว่า... ที่เขารวมตัวกันมา!!!
เขามารวมกันทำความดี ไม่ได้มาก่อความวุ่นวายให้ประเทศชาติบ้านเมืองใช่หรือไม่???
แล้วที่มีคนมารวมตัวกันเยอะๆ เขามารวมตัวกันเพื่อศึกษาธรรมะมาสั่งสมบุญกุศล ไม่ได้สร้างปัญหาให้สังคมหรือใครใช่หรือเปล่า???
ในจุดๆ นี้
คนที่ดูแลภาพรวมเรื่องความมั่นคงของชาติควรใช้ “สติปัญญาที่ประกอบด้วยใจที่เที่ยงธรรม”ในการพิจารณาเรื่องนี้ให้มากๆ
(ที่แนะนำแบบนี้!!!
ก็เพราะเชื่อในสติปัญญา ความรู้ความสามารถ และคุณธรรมของคนที่ทำหน้าที่นี้ว่าต้องไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะมาทำหน้าที่สำคัญแบบนี้ได้อย่างไร!!! แต่ถ้ามีสติปัญญาและมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมขนาดนี้แล้วไม่นำสติปัญญาและมีคุณสมบัติที่มีอยู่มาใช้
หรือใช้เพียงเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะทำให้เวลาตัดสินอะไรอาจเกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้
อุปมาเหมือนคนที่สายตาดี...แต่ดันชอบหรี่ตาดู เวลามองดูอะไรก็เลยทำให้เห็นไม่ชัด เช่น…เห็นเครื่องบินกลายเป็นนก เห็นมดกลายเป็นปลวก...แบบนี้เป็นต้น)
เพราะฉะนั้น...จากเหตุผลที่ได้อธิบายมาทั้งหมด จึงมองไม่ออกว่ากิจกรรมรวมคนมาทำความดีที่ทางวัดพระธรรมกายจัดขึ้น จะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติไปได้อย่างไร
2.คำสอนของวัดพระธรรมกาย
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าจะถูกโยงว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ได้เลย แต่สุดท้ายก็ถูกโยงเข้าจนได้ ถ้าหากใครได้ศึกษาแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายอย่างถ่องแท้ จะพบว่าคำสอนของวัดพระธรรมกายล้วนอ้างอิงตามพระไตรปิฎกทั้งสิ้น จะมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เป็นเรื่องราวที่ไม่มีการบันทึกในพระไตรปิฎก
เพราะเป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่าของเหล่าผู้มีรู้มีญาณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอจินไตยที่ต้องอาศัยการปฏิบัติถึงจะเข้าใจเนื้อหาในส่วนนี้
และจากการวิเคราะห์ประเด็นที่มีคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายแบบสุดขั้ว) พยายามจุดประเด็นให้คนในสังคมเข้าใจแนวคำสอนของวัดพระธรรมกายในแบบผิดๆ
พบว่า...ในหลายๆ ครั้งคนกลุ่มนี้จะเลือกเอาคำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย (เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีบันทึกในตำราและง่ายแก่การโจมตี) แล้วใช้วิธีการ “ตัดตอนคำ
& ตัดตอนคลิป” (ที่ตัวเองเห็นว่าพอจะนำมาตีประเด็นให้คนเข้าใจผิด) มานำเสนอแค่บางช่วง (ไม่ได้ยกเนื้อหาที่แสดงถึงที่มาที่ไปของคำสอนมาแสดงทั้งหมด)
จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็จะนำคำสอนและคลิปที่ถูกตัดตอน มาตีความจนไม่ได้ความ!!!
(คือ...ใส่ความเห็นที่เจืออคติส่วนตัวพร้อมกับตีประเด็นชี้นำสังคม)
ในทำนองที่ว่า...
“คำสอนเหล่านี้ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา
เพราะไม่มีบันทึกในพระไตรปิฎก
เป็นการบัญญัติคำสอนขึ้นมาใหม่
หรือเป็นสัทธรรมปฏิรูป”
เป็นต้น.
เมื่อคนในสังคมโดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าวัดพระธรรมกาย ได้ฟังการตีประเด็นเรื่องคำสอนที่ถูกตัดตอนจากคนกลุ่มนี้แบบตอกย้ำ
ซ้ำๆ หลายๆ คนจึงคล้อยตามและเชื่อว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดจริงๆ
แต่สำหรับคนที่เข้าวัดเป็นประจำ!!! จะคุ้นเคยและเข้าใจในคำสอนของทางวัดเป็นอย่างดีว่า... “ทุกคำสอนที่ทางวัดนำมาเผยแพร่
ล้วนตรงตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางเอาไว้” เพียงแต่บางเรื่อง (โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องอจินไตย) บางครั้งก็จะลงรายละเอียดให้ทราบถึงที่มาที่ไปแบบครบถ้วนกระบวนความ
(ตรงนี้คนที่เข้าวัดมาอย่างต่อเนื่องจะเข้าใจดี) แต่บางครั้งเมื่อนำมากล่าวซ้ำ กอปรกับด้วยเวลาหรือโอกาสไม่อำนวยให้ลงรายละเอียด ก็จะละบางช่วงบางตอนเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ซึ่งตรงจุดนี้แหละ!!!
ที่เป็นจุดให้คนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกายนำข้อมูลไปใช้ตัดตอนคำ & ตัดตอนคลิป เพื่อนำมาโจมตีว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดเพี้ยน
และจากที่ได้อรรถาธิบายมาทั้งหมด ข้อกล่าวหา (จากกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกาย)
ที่ว่า... “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ”
จึงเป็นเพียงการยัดเยียด “ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงและเลื่อนลอย” เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงตามที่มีคนกล่าวหา
วัดพระธรรมกายคงไม่สามารถเจริญเติบโตและยืนหยัดอยู่มาได้อย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันนี้ก็เกือบครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้ว
และที่สำคัญ...กลุ่มคนที่สร้างประเด็นนี้ขึ้นมา มีเจตนาก็เพียงเพื่อชี้นำและปลุกปั่นให้คนในสังคม
(โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง) รู้สึกตื่นตระหนก เกิดความหวาดระแวงเคลือบแคลงสงสัย และสร้างกระแสให้คนในสังคมรู้สึกเกลียดชังวัดพระธรรมกายเท่านั้น ดังนั้น...ข้อกล่าวหาที่ว่า “วัดพระธรรมกายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” จึงไม่ใช่เรื่องจริง!!! และไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายก็อยากจะขอบคุณทุกท่านที่ได้อ่านมาจนถึงย่อหน้าสุดท้ายนี้ และขอฝากถึงทุกท่านว่า...การจะรับข้อมูลอะไรก็ตามในโลกโซเชียล โปรดใช้สติหยุดคิด!!!
และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลต่างๆ ให้ดี
โปรดอย่าฟังความข้างเดียวหรือเชื่อตามกระแสที่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างขึ้นมา ไม่เช่นนั้น!!! ท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.