วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559
เรื่องมีอยู่ว่า นายปุณณะ เป็นคนยากจนเข็ญใจ
เขาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงานให้กับสุมนเศรษฐี เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ
ในครอบครัวของเขาประกอบด้วยภรรยา ๑ คน และบุตรสาวอีก ๑ คน ทั้งสองคนเป็นคนดีมากๆ
คอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดี แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ลำบากก็ไม่ทอดทิ้งกัน
ต่อมาวันหนึ่ง กรุงราชคฤห์มีการจัดงานมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน
สุมนเศรษฐีจึงถามเขา "ว่าจะไปเที่ยวชมมหรสพหรือรับจ้างทำงาน"
เขาตอบว่า "มหรสพเป็นเรื่องของคนรวย ส่วนเขาเป็นคนยากจน
ข้าวสารกรอกหม้อในวันพรุ่งนี้ยังไม่มีกิน จะขอรับจ้างทำงานเหมือนกับทุกวัน"สุมนเศรษฐีจึงให้งานไถนาแก่เขา
นายปุณณะรับวัวและไถมาแล้ว ก่อนจะออกบ้าน
เขาได้บอกภรรยาให้ทำอาหารเช้าเป็นผักต้มมากกว่าทุกวันเป็นสองเท่า
แล้วให้นำไปส่งเขาที่ท้องนานอกเมือง
ขณะนั้น พระสารีบุตรเพิ่งออกจากการเข้านิโรธสมาบัติมาตลอด ๗
วัน เห็นนายปุณณะปรากฏในข่ายญาณทัศนะของท่าน
ก็ทราบว่าเขาเป็นเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ถึงแม้จะมีฐานะยากจนก็ตาม
แต่หากเขาได้ทำบุญกับท่านในเช้าวันนี้
เขาจะได้เป็นมหาเศรษฐีใจบุญค้ำจุนพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต
ท่านปรารถนาจะอนุเคราะห์ให้เขาพ้นจากความลำบากยากจน จึงลุกจากที่หลีกเร้น
เดินไปหาเขาที่ท้องนา
นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรเดินมาแล้วก็รีบวางคันไถ
ก้มกราบด้วยความเคารพ รีบทำไม้ชำระฟันนำไปถวายท่าน
รับบาตรและผ้ากรองน้ำจากมือท่านแล้ว ก็รีบนำไปกรองน้ำดื่มมาถวายท่าน
พระสารีบุตรรออยู่ที่นั่นสักครู่ ก็ทราบว่าภรรยาของนายปุณณะเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว
กำลังเดินทางเกือบจะถึงท้องนาแล้ว ท่านจึงเดินมุ่งหน้าตรงไปยังกรุงราชคฤห์
ในระหว่างทางนั้นเอง
ภรรยาของนายปุณณะได้พบเห็นพระสารีบุตรกำลังเดินบิณฑบาต ก็ได้คิดขึ้นว่า 'การทำทานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากสำหรับเรา
เพราะบางครั้งมีเนื้อนาบุญแต่ไม่มีไทยธรรมก็ทำไม่ได้
มีไทยธรรมแต่ไม่มีเนื้อนาบุญก็ไม่ได้ทำ แต่วันนี้มีครบทั้งสองอย่าง
เราควรทำบุญก่อนเถิด'
ภรรยาของนายปุณณะวางภาชนะใส่อาหารลง ก้มกราบพระสารีบุตรแล้ว
กล่าวนิมนต์ว่า"พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอโปรดจงอย่าคิดว่าภัตตาหารนี้เศร้าหมองหรือประณีตเลย
จงทำความสงเคราะห์แก่ทาสผู้เคารพและศรัทธาต่อพระคุณเจ้าด้วยเถิด"
เมื่อภรรยาของนายปุณณะถวายภัตตาหารได้ครึ่งหนึ่ง
พระสารีบุตรก็วางมือปิดบาตร นางจึงกล่าววิงวอนว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ
โปรดอย่าสงเคราะห์ดิฉันแค่เพียงในชาตินี้เลย
โปรดสงเคราะห์ดีฉันในสัมปรายภพด้วยเถิด"
พระสารีบุตรก็เปิดบาตรออกให้นางใส่ภัตตาหารอีกครึ่งหนึ่งลงไป
ภรรยาของนายปุณณะถวายภัตตาหารเสร็จแล้วก็กล่าวว่า "ขอผลานิสงส์แห่งบุญนี้
จงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมเช่นเดียวกับที่พระคุณเจ้าได้บรรลุแล้วด้วยเทอญ"พระสารีบุตรกล่าวอนุโมทนาว่า
"ขอจงสมปรารถนาเช่นนั้นทุกประการ"
นางปลาบปลื้มปีติในการถวายทานเป็นอันมาก
ก้มกราบแล้วก็รีบกลับไปบ้าน หุงข้าวเตรียมอาหารชุดใหม่เสร็จแล้ว
ก็รีบไปส่งให้กับสามีที่กำลังรอคอยด้วยความหิวอยู่ที่ท้องนา
นายปุณณะยังไม่ได้ทานอาหารเช้า ไถนาจนหมดแรง
ภรรยาก็ยังไม่มาจึงไปนั่งรอใต้ร่มไม้ด้วยความหิวจนมือไม้สั่น
ภรรยาเพิ่งก้าวมาถึงท้องนา เห็นสามีนั่งรออยู่ก็รู้ว่าหิวมาก
ถ้าหากไม่ทำให้อารมณ์ดีก่อน ที่จะเกิดความโมโหหิวและลงมือทำร้ายตน
การถวายทานด้วยภัตตาหารส่วนของสามีในเช้าวันนี้ก็จะกลายเป็นสูญเปล่า
นางจึงร้องบอกแต่ไกลด้วยถ้อยคำอ่อนหวานว่า “พี่จ๋า
พี่จงทำใจให้ผ่องใสสักวันหนึ่งเถิด อย่าได้ทำบุญใหญ่ที่ฉันทำแล้วให้ไร้ประโยชน์
เมื่อเช้าฉันได้พบกับพระธรรมเสนาบดี ได้ถวายภัตตาหารแด่ท่าน
แล้วกลับไปเตรียมมาใหม่ ขอพี่จงทำจิตให้เลื่อมใสในบุญนั้นเถิด”
นายปุณณะได้ยินดังนั้น ก็ตกตะลึงคิดว่าตัวเองหูฝาด
พอได้ยินภรรยาเล่าซ้ำ ก็ปลื้มใจในบุญนั้นเป็นอันมาก
แล้วก็เล่าการทำบุญในส่วนตัวของตน มีการถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปาก
ให้ภรรยาฟังบ้าง
สองสามีภรรยาปลื้มอกปลื้มใจกับบุญที่ได้อุปัฏฐากและถวายท่านแด่พระธรรมเสนาบดีเป็นอันมาก
ฝ่ายสามีรับประทานอาหารเช้าแล้ว
ก็ล้มตัวนอนหนุนตักภรรยาหลับไปด้วยความอ่อนเพลียแต่ใจปลื้มในบุญ
ครั้นเมื่อนายปุณณะตื่นนอนขึ้นมา
ก็ต้องกระพริบตาด้วยความตกตะลึง เมื่อท้องนาที่ไถไว้เมื่อเช้าตรู่
ได้ผันแปรเปลี่ยนเป็นทองคำ ทีแรกยังคิดว่าตนเองตาฝาด จึงสอบถามภรรยาก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
เขายิ่งปลื้มใจในบุญ นึกถึงพระคุณของพระสารีบุตรเป็นอันมาก
ต่อจากนั้น เขาได้นำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อพระราชา
เมื่อทำการแสดงทรัพย์สินแล้ว ปรากฏว่าทองคำทั้งหมดที่ขนมาจากท้องนา
มีปริมาณมากจนล้นพระลานหลวง กองท่วมเป็นภูเขาสูงขึ้นไป ๘๐ ศอก
เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในกรุงราชคฤห์
บุญจากการถวายทานกับพระสารีบุตรได้ส่งผลในวันนั้นเอง
นายปุณณะและครอบครัวได้ฉลองตำแหน่งเศรษฐีด้วยการอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์มาทำบุญถวายภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา
๗ วัน หลังจากฟังพระบรมศาสดาแสดงธรรมแล้ว ก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งครอบครัว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น