วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559


แต่ไหนแต่ไรมา พุทธศาสนาไม่ได้แยกขาดจากไสยศาสตร์ ถ้าไสยศาสตร์หมายถึงระบบความเชื่อที่ยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ และสิ่งลี้ลับเหนือปกติวิสัยของมนุษย์
แต่ถ้าไสยศาสตร์หมายถึง การพยายามนำอำนาจของสิ่งเหล่านี้มาเป็นที่พึ่งในจิตใจ หรือขอให้สิ่งเหล่านี้มาช่วยอำนวยอวยชัยให้ตนเองประสบแต่โชคลาภ ถ้าเป็นอย่างนี้          พุทธศาสนาไม่จัดว่าเป็นไสยศาสตร์ เพราะความจริงอย่างหนึ่งของมนุษย์มีอยู่ว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ในยามเป็นทุกข์อย่างน้อยบางครั้งบางเวลาก็ต้องการสิ่งปลอบประโลมใจยิ่งกว่าเหตุผล ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ และสิ่งลี้ลับเหนือปกติวิสัยมาเป็นที่พึ่งทางจิตใจ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือที่พึ่งที่แท้จริงของชีวิต
เช่นเรื่องที่จะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
เรื่องอัคคิทัตสอนลูกศิษย์และบริวารของตนให้ถือเอาที่พึ่งแบบผิด ๆ
ในสมัยพุทธกาลชมพูทวีปมีลัทธิความเชื่อเกิดขึ้นอย่างมากมาย หนึ่งในหลากหลายความเชื่อนั้นมีเกจิอาจารย์อยู่ท่านหนึ่งชื่อ อัคคิทัต
เกจิอาจารย์ท่านนี้ได้ให้โอวาทแก่ลูกศิษย์หรือบริวารของตนว่า " พวกท่านจงถึงภูเขาเป็นสรณะ, จงถึงป่าเป็นสรณะ, จงถึงอารามเป็นสรณะ, จงถึงต้นไม้เป็นสรณะ เมื่อพวกท่านมีที่พึ่งเช่นนี้จักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้น" เมื่อบริวารได้รับฟังคำสอนเช่นนี้ก็นำไปปฏิบัติเพราะคิดว่าที่พึ่งหรือสรณะเหล่านั้นจะช่วยให้หายจากความทุกข์
ในเวลาจวนรุ่งวันหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอัคคิทัตพร้อมด้วยบริวารเข้ามาภายในข่ายพระญาณว่า " ชนเหล่านี้แม้ทั้งหมด เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต" ตอนเย็นของวันนั้น พระพุทธองค์ได้ส่งพระโมคคัลลานะไปแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อกำราบให้อัคคิทัตคลายจากมานทิฐิเสียก่อน พอถึงเวลาที่เหมาะสมพระพุทธองค์จึงเสด็จไปแสดงธรรมเพื่อให้อัคคิทัตและบริวารหายจากความหลงผิด ซึ่งพระธรรมเทศนามีใจความสำคัญว่า
 " อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้นว่าเป็นที่พึ่งแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย, ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้" ดังนี้
ในที่สุดของพระธรรมเทศนาอัคคิทัตและบริวารหายจากความหลงผิด ได้บรรลุธรรมาพิศมัยโดยทั่วกัน

การเชื่อไสยศาสตร์ไม่จำเป็นต้องหลงงมงายเสมอไป ประเด็นสำคัญอยู่ว่าเชื่ออย่างไร ถ้าเชื่อจนเลิกพึ่งพิงปัญญาหรือการกระทำของตนเอง ก็ย่อมเป็นความงมงาย แต่เมื่อเชื่อแล้วเกิดกำลังใจที่จะทำความดี เชื่อแล้วทำให้เกิดความเพียรพยายามที่จะประกอบคุณงานความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป การเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องงมงายอย่างแน่นอน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น