วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558
On 22:15 by EForL No comments
การสังคายนาครั้งที่
2
การสังคายนาครั้งที่
2 เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 100 ที่วาลิการาม
เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย โดยมีพระยสกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน พระเรวตะทำหน้าที่เป็นประธานผู้คอยซักถาม
และพระสัพพกามีเป็นผู้นำในการตอบ โดยมีพระเจ้ากาลาโศกราชเป็นองค์อุปถัมภ์ การทำสังคายนาในครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน
700 รูป ใช้เวลา 8 เดือน ซึ่งปรากฏใน สัตตสติกขันธกะ
(วิ.จู. (ไทย) 7/ 446-458/ 393-420)
กล่าวไว้ว่า หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานผ่านไปได้ 100 ปี ภิกษุเมืองเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี ได้มีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับวัตถุ
10 ประการ โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ผิดพระวินัย
ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าผิดพระวินัย จนเกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้เกิดความที่ต่างกันเรื่อง
วัตถุ 10 ประการ โดยภิกษุชาววัชชีบุตรได้ตีความไปอีกอย่างโดยถือว่าเป็นอาบัติเล็กน้อยไม่สำคัญอะไรมากนัก
จนเป็นเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ 2
วัตถุ
10
ประการ ตามที่ภิกษุวัชชีบุตรตีความไว้ คือ
1.
ภิกษุเก็บเกลือไว้ในแขนง (ภาชนะที่ทำด้วยเขาสัตว์)
แล้วนำไปฉันปนกับอาหารได้
2.
ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง 2 องคุลีได้
3.
ภิกษุฉันภัตตาหารในวัดเสร็จแล้ว ฉันเสร็จแล้วเข้าไปสู่บ้าน
จะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนและไม่ได้ทำวินัยกรรมได้
4.
ในอาวาสเดียวกันมีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกทำอุโบสถได้
5.
ในเวลาทำอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกัน จะทำอุโบสถไปก่อนก็ได้
โดยให้ผู้ที่มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้
6.
การประพฤติปฏิบัติตามพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพระวินัยก็ตามย่อมเป็นการกระทำที่สมควรเสมอ
7.
นมส้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (เนยใส)
ภิกษุฉันอาหารเสร็จแล้วจะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรมหรือทำให้เป็นเดนตามพระวินัยก็ได้
8.
สุราที่ทำใหม่ๆยังมีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบยังไม่เป็นสุราเต็มที่ภิกษุจะฉันก็ได้
9.
ผ้าปูนั่งนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภคใช้สอยก็ได้
10. ภิกษุรับและยินดีในเงินทองที่เขาถวาย
ไม่เป็นอาบัติ
เมื่อการสังคายนาเสร็จสิ้นผลจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า
ทุกข้อที่พระสัพพกามีวิสัชชนา
ฝ่ายพระเรวตเถระได้เสนอให้สงฆ์ทราบทุกข้อและขอมติจากสงฆ์เพื่อให้ยอมรับว่า วัตถุเหล่านี้ผิดธรรม
ผิดวินัย เป็นการหลีกเลี่ยงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า และได้ขอให้สงฆ์ลงมติทุกครั้งที่พระสัพพากมีเถระตอบ
มติของสงฆ์จึงเห็นว่าวัตถุ 10 ประการนี้
ผิดธรรม ผิดวินัย โดยเสียงเอกฉันท์
หลังจากการทำสังคายนาครั้งที่
2 เสร็จสิ้นลง ฝ่ายพระภิกษุวัชชีบุตรไม่ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์จึงแยกไปทำสังคายนาที่เมืองปาฏลีบุตร
ซึ่งมีพระสงฆ์เข้าร่วม 10,000 รูป และเรียกกลุ่มของตนว่ามหาสังคีติ
หรือมหาสังฆิกะ เพราะเป็นกลุ่มใหญ่มากจึงแตกออกเป็น 2 ฝ่ายคือ
ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และฝ่ายมหาสังฆิกะ ซึ่งต่อมาก็แตกเป็นอี 18 นิกาย โดยมี 7 นิกายแตกออกมาจากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อปี
พ.ศ.100-200 ส่วน 11 นิกายที่แตกมาจากเถรวาท
เกิดเมื่อปี พ.ศ. 200 เป็นต้นมา (มหาลัยธรรมกาย
แคลิฟอร์เนีย, 2550 : 74)
แต่ละนิกายที่แตกย่อยออกไปนั้นต่างมีความเห็นแตกต่างกันทางด้านอุดมคติ
การตีความของพระธรรมวินัยไปต่างๆนาๆ และนำไปสู่การปฏิบัติที่ต่างกันอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ
สิริวัฒน์ คำวันสา (2545:66-68)
ได้กล่าวไว้ว่า การแตกแยกในครั้งนั้นได้แยกออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มของพระยสกากัณฑบุตรและกลุ่มภิกษุวัชชีบุตร
โดยเรียกกลุ่มแรกว่าเป็นนิกาย “เถรวาท” (สถวีรวาท ในภาษาสันสฤต)
เพราะเป็นกลุ่มอนุรักษ์แนวคิดของกลุ่มพระเถระผู้ทำสังคายนาครั้งแรกที่มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน
ซึ่งพยามรักษาคำสอนดั้งเดิมไว้มากที่สุด และเรียกกลุ่มหลังว่าเป็นนิกาย “อาจริยวาท” เพราะเป็นกลุ่มที่ถือเอาความคิดของอาจารย์ของตนเป็นหลัก
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นนิกาย “มหาสังฆิกะ” เพราะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนของพระภิกษุมาก ต่อมานิกายทั้งสองได้เกิดการแตกออกอีกซึ่งนิยมถือกันว่ามีถึง
18 นิกาย แต่ในความจริงน่าจะมีมากกว่านั้น
ในกรณีความเห็นต่างเรื่องการรับเงินรับทอง
ต้องดูสภาพสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย เช่นในสมัยพุทธกาลมีพระพุทธเจ้าอยู่เป็นหลักให้กับพระพุธศาสนา
ด้วยบารมีของพระองค์ ทั้งเศษรฐีและกษัตริย์มีความศรัทธามาก จึงไม่มีปัญหาการดำรงชีพของสมณะ
ทุกอย่างไม่ขลาดแคน แต่หลังพุทธกาลพอไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ความศรัทธาของญาติโยมก็ไม่เหมือนตอนพุทธกาล
เพราะสังคมมันเปลี่ยน เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้บอกกับพระอานนท์ว่าอานนท์หากสงฆ์เห็นสมควร
ให้เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ คือพระองค์อนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แต่ผ่านมาพระอานนท์ลืม
ตอนสังคายนาครั้งแรก พระอานนท์ก็ตอบไม่ได้เพราะลืมถามพระพุทธเจ้า พระวินัยเป็นสิ่งที่คอยร้อยรัดพระสงฆ์ให้อยู่ร่วมกัน
ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติจะมีความเห็นต่างกันบ้าง แต่ในทางวินัยจะมีความเห็นต่างกัน
พระมหากัสสปะเสนอว่าสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วจะไม่เพิกถอนและจะสมาทานสิกขาบทนั้น
สงฆ์มีมติจึงเห็นด้วยจึงไม่มีการเพิกถอนพระวินัย เรื่องนี้มีการจารึกไว้ในพระไตรปิฎกปรากฏกในปัญจสติก
ขันธกะ (วิ.จู. (ไทย) 7/ 442/ 383) จึงเป็นหลักปฏิบัติตามมาของเถรวาท
แต่เจตนาของพุทธเจ้าคือเมื่อสังคมเปลี่ยนไปก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองการณ์ไกล แต่ในส่วนที่พระกัสสปะไม่ยอมแก้ก็เป็นส่วนที่ดี
ทำให้เถรวาทยังคงรักษาพระวินัยดั้งเดิมไว้ แต่ตัวพระวินัยก็ยึดหลักไว้ แต่ในเชิงปฏิบัติก็ยืดหยุ่นได้โดยการมองทุกอย่างไปในทางเจตนารมณ์
ไม่ใช่ไปดูถูกคนแบบแข็ง แต่ดูเจตนารมณ์เพื่อเอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติศาสนกิจและการเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็
แต่ถ้าหากมีใครถือ แบบเคร่งครัดเกินก็จะเกิดการแตกแยกทันที นี่คือบทเรียนจากครั้งพุทธกาล
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
พระพุทธศาสนานิกายมหายานนั้นมีพัฒนาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งสมัยพุทธกาลจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน สอดคล้องกับประยงค์ แสนบุราญ ได้กล่าวไว้ว...
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น