วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องตายแล้วไปไหน!!! อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัยของเหล่าผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญา    หรือผู้ที่บรรลุวิชชา 3 ที่สามารถกำหนดรู้ในการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรมด้วยการใช้ “จุตูปปาตญาณ”




ซึ่งจากประวัติและเรื่องราวที่มีบันทึกของพระสายกรรมฐาน , พระวิปัสสนาจารย์   หรือบรรดาพระเกจิผู้มีรู้มีญาณชื่อดังในยุคปัจจุบัน   หลายๆ รูปท่านก็สามารถระลึกชาติและล่วงรู้การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ทั้งหลายได้ (ยกตัวอย่างเช่น  หลวงปู่ชอบ , หลวงปู่บุดดา  เป็นต้น)   หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎก   ก็ได้มีการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อยู่อย่างมากมายเช่นกัน   

ยกตัวอย่างเช่น...นางวิสาขา ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นมเหสีของผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 26 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ-เถร-เถรีคาถา)   หรือโตเทยยพราหมณ์ ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านตนเอง (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 13  มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์) เป็นต้น.
เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้   อาจเป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่จะตรองตามด้วยการฟังและการอ่านให้เข้าใจได้    เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งเห็นจริงว่า...มันสามารถทำได้จริงและมีจริงๆ   ขอเพียงแค่เราปฏิบัติจริงๆ และปฏิบัติอย่างถูกวิธี    เราก็สามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวของเราเองได้    
เพราะฉะนั้น...การที่หลวงพ่อธัมมชโยนำเรื่องราวในปรโลกของสตีฟ  จอบส์มาเล่าจนกลายเป็นประเด็นสังคมอยู่ในขณะนี้     ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวของเราเอง   ก็คงยากที่จะเข้าใจ    แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนที่เชื่อและไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านนำมาเล่า   
ส่วนว่าเรื่องราวที่ท่านนำมาเล่าอย่างกรณีของสตีฟ  จ็อบส์เข้าข่ายการอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่นั้น!!!    ขอตอบแบบเคลียร์ๆ ณ.ที่นี้ว่า...ไม่เข้าข่ายการอวดอุตริมนุสธรรม!!! เพราะทุกครั้งก่อนที่ท่านจะเล่าเรื่อง  ท่านจะย้ำว่า...“หลับตา ฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที   แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา...   ให้พอเป็นความรู้ติดแข้งติดขา   ถ้าจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”   
หรือในบางครั้งท่านก็จะกล่าวเพิ่มเติมในทำนองที่ว่า... “เรื่องที่นำมาเล่าเป็นเรื่องราวที่ฟังเขามาอีกที   ก็ให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา  เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม”   ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะกล่าวอ้างตัวเองว่า...ท่านนั่งสมาธิไปดูด้วยตัวเอง    หรือใช้ญาณทัสสนะของท่านไประลึกชาติ   เพื่อดูเรื่องราวในอดีตหรือดูการไปเกิดมาเกิดของใคร    เพราะฉะนั้น...การเล่าเรื่องในลักษณะนี้   จึงไม่ใช่การอวดอุตริมนุสธรรม   และที่สำคัญ...เจตนาตั้งต้นที่ท่านนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังในลักษณะนี้   ก็เพื่อมุ่งเน้นสอนคนให้รู้เรื่องกฏแห่งกรรม   ไม่ได้มีเจตนายกตนให้คนเชื่อว่าท่านมีคุณวิเศษแต่อย่างใด  

ส่วนว่า...ฟังแล้วใครจะคิดกับท่านอย่างไร!!!     จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องราวที่ท่านนำมาเล่า   อันนี้ก็สุดแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน   ซึ่งเราคงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้   เพราะหลวงพ่อท่านก็เน้นย้ำอยู่ทุกครั้งก่อนที่จะเทศน์สอนผ่าน DMC ว่า...ที่นี่เป็นโรงเรียนอนุบาล (ฝันในฝันวิทยา)    เนื้อหาธรรมะที่นำมาเทศน์สอนก็อยู่ในระดับอนุบาลซึ่งพอจะเป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจอยากจะรู้เรื่องราวของกฎแห่งกรรม    แต่ถ้าใครอยากจะฟังอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่านี้    ก็ต้องไปฟังจากพระผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญาซึ่งนั่นถือเป็นความรู้ระดับดอกเตอร์   ส่วนของท่านนั้นยังไม่ถึงขั้นระดับประถม  มัธยม  หรืออุดมศึกษาเป็นเพียงแค่ความรู้ระดับชั้นอนุบาลเท่านั้น     แต่ถ้าใครยังสงสัยและอยากจะพิสูจน์ว่าเรื่องราวดังกล่าวมันเป็นจริงอย่างที่ท่านเล่าหรือไม่!!! จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม   ก็ต้อง “เอหิปัสสิโก” หรือมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติด้วยตัวของคุณเองว่ามันจริงไหม!!!     ถ้ามัวแต่มาตั้งป้อมตั้งประเด็นและถกเถียงกันผ่านตัวหนังสือแต่ไม่คิดจะลงมือปฏิบัติ    ถกไปก็ไม่เกิดประโยชน์    

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น