วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558
On 19:42 by EForL No comments
เรื่องมีอยู่ว่า
ในกาลที่อุปติสสะและโกลิตะ (สารีบุตรและโมคัลลานะ) เที่่ยวหาสาระแกนสารของชีวิต
เขาทั้งสองได้ทำการตกลงกันว่า
ถ้าใครได้รู้อมตะธรรมก่อนก็ให้มาบอกซึ่งกันและกันด้วย
วันหนึ่งอุปติสสะได้เห็นจริยะวัตรที่งดงามของพระอัสชิก็เกิดความเลื่อมใส่จึงเข้าถ้าปัญหาหลังจากกระทำภัตรกิจเสร็จแล้วว่า
"ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมข้อไหน?"
อัส. พระมหาสมณะศากยบุตร
เสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล
เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา
และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
อุป. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร
แนะนำอย่างไร?
ฝ่ายพระอัสชิด้วยความที่ท่านเป็นพระบวชใหม่จึงตอบไปสั้นๆ ว่า
"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเหตุแห่งความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้"
ด้วยความที่อุปติสสะมีดวงปัญญามาก
เมื่อจบการแสดงธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันทันที
เมื่อความสงสัยในพระรัตตรัยหมดสิ้นไปแล้ว
จึงตรัสเรียนถามกับพระอัสชิว่า พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ไหน ?
หลังจากที่ได้รับคำตอบแล้วอุปติสสะได้กราบแทบเท้าของพระอาจารย์และกล่าวนิมนต์ให้ท่านล้วงหน้าไปก่อน
ส่วนตัวท่านจะไปทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเพื่อน
โลกนี้ คนฉลาดมากหรือคนโง่มาก ?
เมื่ออุปติสสะและโกลิตะได้บวชในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้ถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งสองไปยังสำนักของอาจารย์สัญชัยผู้ที่มหาชนทั้งหลายยกย่องว่าเป็นผู้วิเศษ
เพราะต้องการจะพาท่านมากราบเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธองค์
และกระผมทั้งสองได้บอกกับอาจารย์เก่าไปว่า
“ลัทธิของท่านไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยจะสอนคนอื่นไปทำไม”
อาจารย์สัญชัยตอบกลับมาว่า
"เราเคยเป็นครูของมหาชน
การที่เราจะทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้"
เมื่อกระผมบอกว่า
"ท่านอาจารย์ ต่อไปมหาชนทั้งหลายรวมทั้งลูกศิษย์ของท่านก็จะไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะทำอย่างไร?"
อาจารย์กล่าวว่า
"ก็โลกนี้คนฉลาดมากหรือคนโง่มาก?"
กระผมตอบว่า " คนโง่มากกว่า "
อาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น
พวกคนฉลาดจะไปสำนักของพระพุทธเจ้า พวกคนโง่จะมายังสำนักของเรา"
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฟังดังนี้แล้วจึงตรัสว่า
" ชนเหล่าใด
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความเห็นผิด
เขาย่อมไม่ประสบสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใด รู้สิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสิ่งที่มีสาระ
รู้สิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ ชนเหล่านั้น
มีความเห็นถูกเขาย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระตลอดกาลนาน "
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
บทความยอดนิยม
-
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกรู้ว่าผลแห่ง "ทาน" ที่ตนให้จะส่งผลมากมายขนาดไหน ความ "ตระหนี่" จะไม่เกิดขึ้นในใจของใครๆ เลยแม้แต่น...
-
ศาสนาทุกศาสนา แต่เดิมล้วนมุ้งสอนให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ปราศจากการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และสอนให้รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงขอ...
-
เวลาขึ้นบ้านใหม่ หรือมีงานมงคลพิธีต่าง ๆ คนไทยมักจะนิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับหลวงปู่ หลวงพ่อก็มักจะเขียนค...
-
ในกาลนานมาแล้ว เศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาน้อยตั้งท้อง วัน...
-
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานมากที่สุด พระพุท...
-
การสังคายนาครั้งที่ 3 การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ . ศ . 236 มีปรากฏในอรรถกถา มหาวิภังค์ (วิ.มหา. อ. (ไทย) 1/ 93-11...
-
ผู้ที่ขัดขวางการให้ทานของผู้อื่นได้ชื่อว่าทำความเสื่อม ให้เกิดขึ้นแก่บุคคลถึง 3 คน ได้แก่ 1) ทำความเสื่อมให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตั้งใจ...
-
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์ 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอย...
-
การสังคายนาครั้งที่ 1 การสังคายนาในครั้งพุทธกาลมีปรากฏในสังคีติสูตร (ที.ปา. (ไทย) 10/ 296-349/ 247-366 ) กล่าวไว้ว่า พระสารีบุตรได...
-
ชาวพุทธเถรวาท คือ ชาวพุทธที่ยึดมั่นในวาทะของพระเถระ ซึ่งก็คือพระอรหันต์ 500 รูป ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งที่ 1 หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือ...
บทความทั้งหมด
-
►
2016
(36)
- ► กุมภาพันธ์ (1)
สถิติผู้เข้าชม
ติดตามผู้เขียน
ฟอร์มรายชื่อติดต่อ
ติดตามที่ Facebook
Tags
ขับเคลื่อนโดย Blogger.